บทสรุปศึกต่างวิชา! ครูพละ ครูจีน ครูดนตรี ข่มขืนนักเรียนหรือแกล้งกัน

ครูพละ / วันที่ 19 มี.ค. นายธนารัชต์ สมคเณ รอง ผอ.สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 1 กรุงเทพมหานคร (สพม.เขต 1 กทม.) เปิดเผยความคืบหน้าการตั้งคณะกรรมการสืบข้อเท็จจริง กรณีมีการแชร์ข้อความและภาพครูพลศึกษาชายของโรงเรียนสตรีชื่อดังแห่งหนึ่งในกทม. มีพฤติกรรมอนาจารนักเรียนหญิงหลายคนนั้น ว่า เนื่องจากครูพละ อ้างว่ามีความขัดแย้งภายในโรงเรียน

จากการสืบก็พบว่ามีปัญหาความขัดแย้งเกิดขึ้นจริง ระหว่างครูพละและครูสอนวิชาดนตรี เบื้องต้นพบว่า มีการทะเลาะเบาะแว้งกัน แต่ครูดนตรีไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องในการแชร์ข้อความภาพของครูพละ แต่มีพฤติกรรมเข้าข่ายที่อาจจะก่อให้เกิดความแตกแยกในโรงเรียน ความขัดแย้งดังกล่าว อาจส่งผลเสียต่อสถานศึกษา

ในการประชุมคณะกรรมการสถานศึกษาโรงเรียนสตรี เมื่อวันที่ 18 มี.ค. มีมติขอให้ สพม.เขต 1 กทม. มีคำสั่งให้ครูดนตรีคนดังกล่าว ไปปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราวที่ สพม.เขต 1 ตั้งแต่วันที่ 20 มีนาคมเป็นต้นไป และอาจจะมีการตั้งคณะกรรมการสืบข้อเท็จจริงด้วย

“การที่ครู 2 คนมาทะเลาะกันเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสม สร้างความเสื่อมเสีย ซึ่งต้องมีการสืบข้อเท็จจริงแน่นอน ในส่วนครูพละ จะมีทั้งเรื่องการทะเลาะและกรณีที่มีการแชทกับเด็กก็ไม่เหมาะสมนั้น ภาพผู้หญิงที่ปรากฎนั้นไม่ใช่นักเรียนและไม่ใช่ศิษย์เก่า ตรงนี้ก็เบาใจได้ แต่ก็จะต้องรอสรุปข้อเท็จจริงอย่างเป็นทางการอีกครั้งหนึ่ง” นายธนารัชต์ กล่าว

นายธนารัชต์ กล่าวต่อว่า ส่วนกรณีที่มีครูสอนภาษาจีนของโรงเรียนดังกล่าว เข้ามอบตัวที่ สน.บางกอกน้อย เพื่อรับทราบข้อกล่าวหาพรากผู้เยาว์และข่มขืนกระทำชำเราเด็กหญิงอายุไม่เกิน15 ปี โดยเจ้าตัวรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหานั้น ทางโรงเรียนชี้แจงว่าครูดังกล่าวเป็นครูอัตราจ้าง

จากการสอบสวนพบว่ากระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงจริง และลงโทษไล่ออกจากตำแหน่งครูอัตราจ้าง ตั้งแต่วันที่ 28 พ.ย. 2561 แต่ไม่ได้รายงานให้ สพม.เขต 1 กทม.ทราบ จึงได้สั่งการให้ทำรายงานมาเพื่อประสาน ไปยังสำนักงานเลขาธิการคุรุสภา พิจารณาเพิกถอนใบอนุญาตประกอบวิชาชีพต่อไป

โทษผิดกลั่นแกล้ง

นายบุญรักษ์ ยอดเพชร เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) กล่าวว่า การที่ครูประพฤติตน หรือมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมนั้น ทางสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) เน้นย้ำตลอดว่า ถ้าครูรายใด มีพฤติกรรม หรือกระทำความผิดที่ไม่เหมาะสม โดยเฉพาะการกระทำอนาจาร หรือล่วงละเมิดทางเพศนักเรียน ถือเป็นการประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง ซึ่งเรื่องนี้สพฐ. ได้มีการปรามมาโดยตลอด

อย่างไรก็ตาม การควบคุม ดูแลความประพฤติของครูนั้น เป็นอำนาจของผู้อำนวยการโรงเรียนจะเป็นผู้ดูแลทั้งหมด ดังนั้น ตนจะเน้นย้ำกับผู้อำนวยการโรงเรียนว่าจะต้องสอดส่องพฤติกรรมครูที่ผิดปกติ มีการวางระบบเครือข่ายในการดูแลโรงเรียน หรือพฤติกรรมของครูที่ผิดเพี้ยนไป

“ประการสำคัญก็คือ โรงเรียนจะต้องมีการประชุมสร้างความตระหนักให้ครูมีจิตสำนึก และมีจิตวิญญาณของความเป็นครูสูง เรื่องนี้เมื่อเกิดแล้ว สพฐ.ต้องดำเนินการอย่างเด็ดขาด ทั้งนี้ สพฐ.จะเร่งรัดให้ สพม. เขต1 กทม. เร่งตรวจสอบข้อเท็จจริง และเร่งเสนอเรื่องนี้ให้ศึกษาธิการจังหวัด (ศธจ.) ซึ่งเป็นเลขานุการคณะกรรมการศึกษาธิการจังหวัด (กศจ.) ตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยอย่างร้ายแรงต่อไป” นายบุญรักษ์ กล่าว

นายบุญรักษ์ กล่าวต่อว่า ทั้งนี้หากตรวจสอบพบว่ามีการกลั่นแกล้งระหว่างกันจริง ผู้ที่กลั่นแกล้งบุคคลอื่นนั้นมีความผิดอยู่แล้ว โดยผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 และผิดในเรื่องของการทำร้ายชื่อเสียง และสร้างความแตกแยกให้กับราชการด้วยกัน ซึ่งมีระเบียบกำหนดไว้อยู่แล้วว่าจะลงโทษทางวินัยอย่างไร

โดยขึ้นอยู่กับความเสียหายด้วย เช่น หากสร้างความเสียหายให้กับราชการมาก ถือเป็นความผิดวินัยร้ายแรง และหากสร้างความเสียหายไม่มาก อาจจะถูกตั้งวินัยไม่ร้ายแรง เป็นต้น ส่วนครูที่อ้างว่าถูกกลั่นแกล้งนั้น จะดำเนินคดีอาญาและดำเนินคดีตามกฎหมายอื่นหรือไม่ขึ้นอยู่กับตัวครูเองว่าจะดำเนินการอย่างไร

ไม่พลาดข่าวสำคัญ แค่กดเป็นเพื่อนกับ ไลน์@ข่าวสด ที่นี่
เพิ่มเพื่อน

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน