ไขปมคาใจ เหตุใด ‘เปรมชัย’ ถึงหลุดความผิด ‘ร่วมล่าเสือดำ’

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตามที่มีคำพิพากษาของศาลจังหวัดทองผาภูมิ ในคดีล่าเสือดำภายในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี เมื่อวันที่ 18 มี.ค.ที่ผ่านมา สั่งจำคุกนายเปรมชัย กรรณสูต ประธานบริหารบริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด จำเลยที่ 1 เป็นเวลา 16 เดือน ไม่รอลงอาญา นายยงค์ โดดเครือ จำเลยที่ 2 จำคุก 13 เดือนไม่รอลงอาญา นางนที เรียมแสน จำเลยที่ 3 จำคุก 4 เดือน ปรับ 1 หมื่นบาท โทษจำรอลงอาญา 2 ปี และนายธานี ทุมมาศ จำเลยที่ 4 จำคุก 2 ปี 17 เดือน ไม่รอลงอาญา

ทำให้เกิดปมคาใจว่าทำไมนายเปรมชัย จึงหลุดคดีครอบครองซากเสือดำ ทั้งนี้ศาลได้พิเคราะห์ว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่าสถานที่เกิดเหตุอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ และเป็นเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า เสือดำกับไก่ฟ้าหลังเทา เป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง นอกจากนี้วันเกิดเหตุวันที่ 3 ก.พ. เวลา 05.00 -06.00 น. นายเปรมชัย นายยงค์ และนางนที เดินทางไปเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวรด้านตะวันตก จากนั้นแวะบ้านนายเปรมชัยที่ช่องกระทิง แล้วแวะรับนายธานีที่บ้านโป่งปัด

โดยมาถึงสำนักงานเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าฯ เวลา 15.00 น. แล้วเข้าไปพักภายในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร ในจุดที่มีห้วยน้ำไหล เลยหน่วยพิทักษ์ป่าทิคอง ต่อมาวันที่ 4 ก.พ. เจ้าหน้าที่ 4 คนมาที่แคมป์พัก แจ้งนายเปรมชัยว่าไม่สามารถพักที่ดังกล่าวได้ นายเปรมชัยแจ้งว่าขอพักอีก 1 คืน แต่เจ้าหน้าที่ให้ไปขออนุญาตนายวิเชียร ชิณวงศ์ หัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าฯ นายเปรมชัย จึงขับรถไปหานายวิเชียร แต่นายวิเชียร ไม่อนุญาต นายเปรมชัย จึงขับรถกลับแคมป์ ในเวลา 21.00 น. แล้วสั่งให้ลูกน้องเก็บของ แต่เจ้าหน้าที่บอกให้รอนายวิเชียรก่อน

จากนั้นอีกครึ่งชั่วโมงนายวิเชียรมาถึงพร้อมเจ้าหน้าที่อื่นอีกหลายคน ค้นที่ตั้งแคมป์ โดยให้นายเปรมชัยและพวกทั้ง 4 รออยู่ที่เต็นท์ พบปืนยาว 3 กระบอกของนายเปรมชัย จากนั้นคุมตัวทั้ง 4 คนมายังสำนักงานเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า กระทั่งวันที่ 6 ก.พ. เจ้าหน้าที่คุมตัวทั้ง 4 คนไปแจ้งข้อกล่าวหาที่สภ.ทองผาภูมิ สำหรับความผิดฐานร่วมมีอาวุธปืนไว้ครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตพบว่าปืน 3 กระบอกเป็นของนายเปรมชัย และสั่งให้ขนย้ายมาใส่รถ ขณะที่นายยงค์ และนายธานี รับสารภาพ จึงมีความผิดฐานร่วมกันพาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะ โดยไม่ได้รับอนุญาต และโดยไม่มีเหตุสมควร

ส่วนนางนที เป็นแม่ครัว มีหน้าที่คอยดูแลและหาอาหารให้นายเปรมชัยไม่ได้ร่วมขนย้ายสิ่งของ จึงไม่มีความผิด สำหรับความผิดต่อสัตว์ป่าคุ้มครองและป่าสงวนแห่งชาตินั้น เจ้าหน้าที่ที่เข้าไปในจุดตั้งแคมป์ พบนายเปรมชัย นายยงค์ และนางนที ระหว่างนั้นได้ยินเสียงปืน 1 นัด เมื่อเจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบเห็นนายธานี ใช้ปืนยาวเล็งไปที่ยอดไม้ ซึ่งมีกระรอกวิ่งอยู่ และมีมีดเหน็บอยู่ที่เอว จึงเชิญกลับมาที่แคมป์พัก ต่อมาตรวจสอบจุดห่างจากแคมป์ประมาณ 700 เมตร บริเวณห้วยปะชิ พบปลอกกระสุนปืนลูกซอง ขนาด 20 สีเหลือง 1 ปลอก พบซากเครื่องในสัตว์ลักษณะใหม่ ที่ซอกหินริมห้วย

พบกระจุกขนสีดำเทาใกล้กัน พบถุงเกลือเปล่า 2 ถุง ส่วนที่แคมป์พบถังน้ำแข็ง 2 ถัง ใบแรกมีน้ำแข็งกับยาโรคเบาหวานของนายเปรมชัย อีกถังมีซากไก่ฟ้าหลังเทา 1 ตัว ยังไม่ได้ชำแหละ และถุงพลาสติกใส่เนื้อสัตว์หลายถุง มีเนื้อสัตว์อื่นปน นอกจากนี้ยังพบหนังสือดำทางเกลือในถุงดำ ซุกบริเวณกอไผ่ ในถุงยังมีกะโหลกเสือดำ พบถุงพลาสติกภายในมีขาสัตว์ตั้งแต่ข้อขาถึงเนื้อสะโพก 3 ข้าง ซี่โครงมีเนื้อติดอยู่ เนื้อสันหลังติดกระดูก พบกระเป๋าสะพายข้างสีแดงดำฝังอยู่

พิจารณาจากคำให้การเจ้าหน้าที่ที่ไม่มีสาเหตุโกรธแค้น และเบิกความตามเป็นขั้นตอนไม่มีข้อพิรุธ เชื่อว่าเจ้าหน้าที่พบเห็นนายธานี ขณะกำลังเล็งปืนยิงใส่กระรอก ค้นตัวนายธานีพบกระสุนลูกซอง 20 จำนวน 2 นัด ลักษณะคล้ายกับปลอกกระสุนของกลางที่พบใกล้ซากเสือดำ ส่อแสดงว่านายธานี มีพฤติการณ์ใช้อาวุธปืนของกลางในการล่าสุตว์ เมื่อเสือดำถูกยิงตามภาพถ่ายจำลอง พบเป็นขนาดเดียวกับกระสุนปืนลูกซองของกลาง เปลียบเทียบจากอาวุธปืนยาวลูกซองแฝด ขนาด 20 มีตำหนิรอยเข็มแทงชนวนและรอยลายเส้นที่จานท้ายปลอกกระสุนปืนตรงกัน และเข้ารอยกันได้ เชื่อว่าปลอกกระสุนปืนลูกซอง ขนาด 20 ของกลาง ยิงมาจากปืนยาวลูกซองแฝดของกลาง จึงฟังได้ว่านายธานี เป็นผู้ใช้ปืนยาวลูกซองแฝดของกลางยิงเสือดำ จึงมีความผิดฐานล่าสัตว์ป่าคุ้มครอง(เสือดำ) มีปัญหาว่านายเปรมชัย และนายยงค์ เป็นตัวการที่ได้ร่วมกระทำความผิดหรือไม่

จากการนำสืบพบว่าทั้งคู่ ไม่ได้อยู่ขณะที่นายธานี จะยิงกระรอก แสดงให้เห็นพฤติกรรมการออกล่าสัตว์ของนายธานี ว่า มักจะออกล่าสัตว์ตามลำพัง ประกอบกับโจทก์ไม่มีพยานแวดล้อมให้เห็นว่าทั้งคู่อยู่กับนายธานี ขณะยิงเสือดำ หรือช่วยเหลือในลักษณะแบ่งงานกันทำ จึงฟังไม่ได้ว่าทั้งคู่เข้าร่วมขณะกระทำความผิด จึงฟังไม่ได้ว่าเป็นตัวการกระทำความล่าเสือดำ แต่ที่นายเปรมชัยให้นายธานี ใช้ปืนยาวลูกซองแฝดของกลาง ย่อมต้องรู้ว่าจะนำไปใช้ล่าสัตว์ ถือเป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวก อันเป็นผู้สนับสนุนกากระทำความผิด นายเปรมชัยจึงมีความผิดฐานสนับสนุน

และเมื่อเสือดำตาย ตามปกติวิสัยของคนล่าสัตว์ นายธานี ต้องจัดการซาก เพือไม่ให้เจ้าหน้าที่พบและปกปิดการกระทำความผิดของตัวเอง โดยใช้มีดของกลางชำแหละซากเสือดำและทิ้งเครื่องในไว้ แล้วนำซากเสือดำส่วนที่เหลือไปชำแหละต่อที่แคมป์ แต่นายเปรมชัย ระบุว่า เช้าวันที่ 4 ก.พ. 61 ขับรถเข้าไปในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าฯ จนถึงด่านเซซาโว่ ซึ่งสามารถบอกข้อเท็จจริงของสภาพแวดล้อมได้หมด จึงเชื่อว่าขณะที่นายธานี นำซากเสือดำกลับมาแคมป์ นายเปรมชัยไม่ได้อยู่ด้วย

แต่นายยงค์ และนางนที ต้องรู้เห็น เพราะชิ้นเนื้อปรุงสุกพบเป็นของเสือดำ ซึ่งนางนที ก็ให้การว่าทำซุปรับประทาน จึงเชื่อว่าทั้ง 3 ใช้มีดที่พบดีเอ็นเอเสือดำช่วยชำแหละเนื้อไปปรุงอาหาร แล้วนำเนื้อที่เหลือใส่ถุงดำซ่อนไว้ก่อนที่นายเปรมชัยจะกลับมา ส่วนซากไก่ฟ้าหลังเทาที่มีลูกกระสุนปืนฝังอยู่และมีรอยกระสุนเข้า 12 รอย เชื่อว่าทั้ง 4 คนรู้อยู่แล้วว่าซากดังกล่าวได้มาด้วยการล่า จึงฟังว่าได้ทั้ง 4 มีความผิดฐานร่วมกันครอบครองซากสัตว์ป่าคุ้มครอง และฐานร่วมกันรับไว้โดยประการใดๆซึ่งซากของสัตว์ป่าคุ้มครอง(ไก่ฟ้าหลังเทา)


 

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน