5 ปี ที่รอคอย “บิลลี่ พอละจี” หายไร้ร่องรอย ครอบครัวยังตามหาความยุติธรรม

วันที่ 17 เม.ย.2557 เป็นวันสุดท้ายที่มีผู้พบเห็น บิลลี่ พอละจี รักจงเจริญ ชายหนุ่มกะเหรี่ยง ที่ต่อสู้เรียกร้องเรื่องสิทธิที่ดินทำกิน และสิทธิที่อยู่อาศัย เพื่อบ้านเกิดของเขา ได้หายตัวไปอย่างลึกลับ หลังถูกเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ควบคุมตัวในข้อหาครอบครองน้ำผึ้งป่า ที่ด่านเขามะเร็ว อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน อ.แก่งกระจาน จ.เพชรบุรี

นับจากวันนั้น เป็นเวลาถึง 5 ปีแล้วที่ บิลลี่ ในฐานะพ่อของลูกทั้ง 5 คน หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ท่ามหยาดน้ำตาของภรรยา และลูกๆ ที่เพียรออกตามหา และหวังพึ่งพากระบวนการยุติธรรม และหน่วยงานของรัฐ

แต่ก็ไม่เป็นผล เมื่อไม่มีใครสามารถให้คำตอบครอบครัว รักจงเจริญ ได้เลยว่า หัวหน้าครอบครัวของเขาหายตัวไปอยู่ที่ใด

5 ปีที่ผ่านมา เป็นเวลาของการรอคอยที่ยาวนานที่สุด สำหรับ ภรรยา และลูกของบิลลี่

5 ปีที่ผ่านมา ลูกของเขาเติบโตขึ้นมา พร้อมกับคำถามที่คนเป็นแม่ ก็ตอบได้ยากว่า “พ่อของเขาอยู่ไหน – พ่อของเขาหายไปไหน”

5 ปีที่เต็มไปด้วยเจ็บปวด สิ้นหวัง และแตกสลายครั้งแล้วครั้งเล่า ของ ‘มึนอ พิณนภา พฤกษาพรรณ ภรรยาข้างกายบิลลี่’ ร้องไห้จนไม่รู้จะร้องยังไง เฝ้ารอความหวังอย่างลางเลือน กับร้อยพันคำถามที่ยังไร้คำตอบ

ภรรยาบิลลี่ ยืนยันจะตามคดีจนถึงที่สุด

ในวาระ 5 ปีการหายไปของบิลลี่ ‘มึนอ’ เขียนบอกเล่าความรู้สึกของเขาผ่านจดหมายฉบับหนึ่ง มีใจความแสนเศร้าว่า ทุกๆปีในช่วงเทศกาลสงกรานต์ จะเป็นวันที่ทุกคนได้สนุกสนาน และมีความสุขอยู่กับครอบครัว แต่ครอบครัวของฉันหาได้เป็นเช่นนั้น เพราะเมื่อวันที่ 17 เม.ย.2557 สามีของฉันถูกทำให้หายไป พร้อมรถจักรยานยนต์ หลังถูกเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ควบคุมตัวไป

ในขณะที่ทุกครอบครัวกำลังมีความสุข แต่ครอบครัวของฉันกับเต็มไปด้วยความรู้สึกมากมาย ทั้งเศร้า เฉยเมย หรือหากจะสนุกบ้าง ก็เป็นช่วงเวลาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

แต่ชีวิตยังมีความหวัง ที่รอคอยความยุติธรรมให้กับครอบครัว ฉันยังเชื่อว่าปัญหาที่เกิดขึ้นมีทางแก้ไขได้ ขอเพียงเจ้าหน้าที่รัฐหันมาพูดคุยกัน และแก้ปัญหาอย่างจริงจัง

ในส่วนของคดีความ แม้กรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) จะมีมติรับคดีการหายตัวไปของนายพอละจี รักจงเจริญ หรือ ‘บิลลี่’ แกนนำชาวกะเหรี่ยงบ้านโป่งลึก-บางกลอย อ.แก่งกระจาน จ.เพชรบุรี ที่หายตัวไปเมื่อวันที่ 17 เม.ย.2557 เป็นคดีพิเศษ เมื่อปีที่แล้ว แต่มาถึงวันนี้กลับยังไม่มีความคืบหน้า

ทั้งนี้ มึนอ ยังบอกว่า แม้เรื่องจะผ่านมาแล้ว 5 ปี แต่ยืนยันว่าจะตามคดีบิลลี่จนสิ้นสุดคดีความทุกขั้นตอน ทุกรูปแบบ ไม่ว่างจะเหนื่อยเพียงใดก็ตาม เพราะความยุติธรรมคือสิ่งเดียวที่ครอบครัวของเราต้องการ

องค์กรสิทธิ ตั้งคำถามความยุติธรรมอยู่ไหน ?

ด้านองค์กรสิทธิ ที่ออกมาต่อสู้เรียกร้อง และติดตามคดีการหายตัวไปของบิลลี่ ได้ออกมาตั้งคำถามถึงการทำงานในกระบวนการยุติธรรม ที่ยังล่าช้า และดูจะไม่เป็นธรรมกับครอบครัวของบิลลี่

สมาคมนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน (สนส.) ตั้งคำถามถึงเรื่องบิลลี่ ว่า ตลอดระยะเวลา 5 ปีที่บิลลี่หายไป ภรรยาของบิลลี่และองค์กรต่างๆ ต่างก็พยายามเดินหน้าแสวงหาความจริงและความเป็นธรรมอย่างต่อเนื่อง แม้ดีเอสไอ มีมติรับกรณีการหายตัวไปของบิลลี่เป็นคดีพิเศษเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2561 ซึ่งในปัจจุบันอยู่ระหว่างการรวบรวมพยานหลักฐาน และการดำเนินงานเพื่อสืบทราบความจริง

อย่างไรก็ดี เวลาระยะเวลาผ่านพ้นมาถึง 5 ปีแล้ว การค้นหาพยานหลักฐานก็อาจจะทำได้ไม่ง่ายนัก คดีนี้จึงน่าติดตามอย่างยิ่งว่าผลออกมาจะเป็นอย่างไร จะเป็นกรณีแรกที่สามารถนำผู้กระทำความผิดมาลงโทษได้หรือไม่

ขณะที่ แคทเธอรีน เกอร์สัน เจ้าหน้าที่ฝ่ายรณรงค์ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล กล่าวในเรื่องนี้ว่า ในวาระครบรอบการหายตัวไปของบิลลี่ เน้นให้เห็นถึงภัยคุกคามร้ายแรงที่นักปกป้องสิทธิมนุษยชนต้องเผชิญ ทั้งยังเผยให้เห็นความล้มเหลวของรัฐในการอำนวยความยุติธรรมให้กับผู้เสียหาย

วันนี้ควรเป็นวันที่เตือนให้รัฐบาลปัจจุบันและรัฐบาลใหม่ ตระหนักถึงพันธกรณีของตนในการปกป้องและคุ้มครองสิทธิของประชาชน โดยหากจำเป็น รัฐต้องให้ความคุ้มครองเป็นการเฉพาะและมีประสิทธิภาพ เพื่อไม่ให้บุคคลเหล่านี้ต้องเผชิญกับการตอบโต้ในรูปแบบต่างๆ เพียงเพราะพวกเขาต้องการให้ประเทศนี้เท่าเทียมและเป็นธรรมขึ้นเท่านั้นเอง

“แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลเรียกร้องทางการไทยให้การประกันว่า จะดำเนินการสอบสวนคดีบิลลี่อย่างเป็นอิสระ ไม่ลำเอียงและรอบด้าน โดยต้องนำไปสู่การเยียวยาครอบครัวและผู้ได้รับผลกระทบทุกคนอย่างเต็มที่ รวมทั้งให้นำตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษด้วย”

“รัฐบาลใหม่ยังควรกำหนดให้การผ่านร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. …. เป็นวาระเร่งด่วน ซึ่งร่างดังกล่าวอยู่ระหว่างการพิจารณา หลังมีการแก้ไขเนื้อหาให้สอดคล้องกับพันธกรณีระหว่างประเทศของไทย

รัฐบาลใหม่ยังต้องปฏิบัติตามมติของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ เมื่อเดือนมี.ค.2560 ที่จะให้สัตยาบันรับรองอนุสัญญาแห่งสหประชาชาติว่าด้วยการสูญหายของบุคคลโดยการบังคับและโดยไม่สมัครใจ ซึ่งได้มีการลงนามไปแล้ว”

“ท้ายนี้รัฐบาลต้องแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายซึ่งยังคงอนุญาตให้มีการควบคุมตัวบุคคลในสถานที่ควบคุมตัวอย่างไม่เป็นทางการ รวมทั้งการควบคุมตัวโดยไม่มีการแจ้งข้อหา หรือนำตัวมาไต่สวนในศาล” แคทเธอ รีนกล่าวทิ้งท้าย

5 ปีผ่านไป หากมองในแง่การใช้ชีวิต หลายคนต่างคงตั้งความหวังถึงความมั่นคงในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นรถ เงินทอง หน้าที่การงาน หรือแม้แต่ความรัก

แต่สำหรับครอบครัว รักจงเจริญ กลับเฝ้าหวังจะเห็น บิลลี่ หวนคืนกลับมา ไม่ว่าจะในรูปลักษณ์ใดก็ตาม

ไม่พลาดข่าวสำคัญ แค่กดเป็นเพื่อนกับ ไลน์@ข่าวสด ที่นี่
เพิ่มเพื่อน

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน