บิ๊กป้อมลั่นประสานลาว ส่งตัว “โกตี๋”ข้ามแดน”ศรีวราห์”ชี้เครือข่ายสะสมอาวุธ เป็น”เรดเรดิโอ” ไม่ใช่เสื้อแดง ตร.ย้ำอีกโยงธรรม กาย-ไม่ได้จัดฉากค้นตู้คอนเทนเนอร์วันสามยังไม่พบอาวุธเพิ่ม บี้สอบ 9 ผู้ต้องสงสัยโยงสารพัดคดี “สตง.-ป.ป.ช.”โยนสรรพากร แจงปมเก็บภาษี 60 นักการเมือง ผบ.เหล่าทัพตบเท้าอวยพร วันเกิด”บิ๊กตู่” มิ.ย.ได้เห็นสัญญาประชาคมฉบับปรองดอง

ตบเท้าอวยพรวันเกิด”บิ๊กตู่”

วันที่ 20 มี.ค. ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ. ชัยชาญ ช้างมงคล ปลัดกระทรวงกลาโหม นำ ผู้บัญชาการเหล่าทัพ ประกอบด้วย พล.อ. สุรพงษ์ สุวรรณอัตถ์ ผบ.สส. พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผบ.ทบ. พล.ร.อ.ณะ อารีนิจ ผบ.ทร. พล.อ.อ.จอม รุ่งสว่าง ผบ.ทอ. และพล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. นำคณะเข้าอวยพรในวันคล้ายวันเกิดล่วงหน้า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบเเห่งชาติ (คสช.) ครบรอบ 63 ปีในวันที่ 21 มี.ค.นี้ ใช้เวลาประมาณ 30 นาที ก่อนเดินทางกลับ ทั้งนี้ นายกฯได้มอบเหรียญรัชกาลที่ 9 พร้อมถุงผ้าภายในเป็นปลอกหมอนลายผ้าขาวม้าที่ประชาชนมอบให้จากการลงพื้นที่เป็นที่ระลึก

จากนั้นเวลา 09.30 น. พล.อ.ประยุทธ์ เป็นประธานราชการแผ่นดินเชิงยุทธศาสตร์ หรือมินิคาบิเนต ครั้งที่ 4/2560 โดยมีนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย พล.อ.วิลาศ อรุณศรี เลขาธิการนายกฯและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม ทั้งนี้ มินิคาบิเนต เป็น 1 ใน 4 คณะกรรมการของคณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินตามกรอบการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติและการสร้างความสามัคคีปรองดอง (ป.ย.ป.)

ถกมินิคาบิเนตแก้ปมเกษตร

โดยพล.อ.ประยุทธ์กล่าวตอนหนึ่งว่า ที่ผ่านมายังแก้ปัญหาได้ไม่ครบวงจร ยังติดขัดหลายประการทั้งกฎระเบียบและข้อบังคับ หรือวิธีบริหารจัดการ โดยเฉพาะประชาชนและเกษตรกรที่เป็นปัญหาหลักของประเทศขณะนี้ ดังนั้น การปรับเปลี่ยนทั้งด้านวิชาการและการบริหารจัดการ ในทางปฏิบัติไม่สามารถทำได้ เพราะประชาชนยังเคยชินกับการช่วยเหลือและการบุกรุกมานานจนเกินไป แต่ยืนยันว่ายังแก้ไขได้ ด้วยความร่วมมือของทุกฝ่าย แม้จะไม่ได้ 100 เปอร์เซ็นต์ก็ตาม แต่เพราะเป็นป.ย.ป.จึงต้องแก้ไขให้ได้

นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รมต.ประจำสำนักนายกฯ ในฐานะเลขานุการป.ย.ป. กล่าวภายหลังการประชุมมินิคาบิเนตว่า เป็นการคุย หลักการเรื่องยุทธศาสตร์ของ 5 สินค้าเกษตรสำคัญ ได้แก่ ข้าว ข้าวโพด มัน ปาล์ม และยาง รวมถึงการจัดลำดับความยากง่ายในการทำธุรกิจ

ราชกิจจาฯเผยคำวินิจฉัยม.19

เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ คำวินิจฉัยของคณะกรรมการวินิจฉัยภาษีอากร ที่ 41/2560 เรื่อง การขยายเวลาการออกหมายเรียกตามมาตรา 19 แห่งประมวลรัษฎากร ด้วยกรมสรรพากรได้ขอให้คณะกรรมการวินิจฉัยภาษีอากร วินิจฉัยว่ากรณีเจ้าพนักงานประเมิน มีเหตุอันควรเชื่อว่าผู้ใดแสดงรายการตามแบบที่ยื่นไม่ถูกต้องตามความจริงหรือไม่บริบูรณ์ แต่ไม่ได้ออกหมายเรียกผู้ยื่นรายการนั้นมาไต่สวน และออกหมายเรียกพยานกับสั่งให้ผู้ยื่นรายการหรือพยานนำบัญชีเอกสารหรือหลักฐานอื่นมาแสดงภายในเวลา 2 ปีนับแต่วันที่ยื่นรายการ และไม่มีการอนุมัติโดยอธิบดีให้ขยายเวลาการออกหมายเรียกดังกล่าวเกินกว่า 2 ปีแต่ไม่เกิน 5 ปีนับแต่วันที่ได้ยื่นรายการ

ในกรณีปรากฏหลักฐานหรือมีเหตุอันควรสงสัยว่าผู้ยื่นรายการมีเจตนาหลีกเลี่ยงการเสียภาษีอากร ตามมาตรา 19 เช่นนี้ รมว.คลังจะใช้อำนาจตามมาตรา 3 อัฏฐ วรรคสอง แห่งประมวลรัษฎากร ขยายกำหนดเวลาการออกหมายเรียกตามมาตรา 19 เมื่อพ้นกำหนดเวลา 5 ปี นับแต่วันที่ได้ยื่นรายการไว้ได้หรือไม่

กก.วินิจฉัยชี้ห้ามขยายเวลาจาก5ปี

คณะกรรมการพิจารณาและมีคำวินิจฉัยในการประชุมครั้งที่ 46/2560 วันที่ 7 มี.ค. 2560 ว่า มาตรา 19 ได้กำหนดเวลาออกหมายเรียกของเจ้าพนักงานประเมิน และการอนุมัติให้ขยายเวลาการออกหมายเรียกของอธิบดี ในกรณียื่นรายการตามแบบไว้เป็นการเฉพาะแล้ว จึงไม่อาจนำบทบัญญัติมาตรา 3 อัฏฐ วรรคสอง เกี่ยวกับการขยายหรือเลื่อนกำหนดเวลาต่างๆ ตามประมวลรัษฎากร ซึ่งเป็นบททั่วไปมาใช้บังคับแก่กำหนดเวลาการออกหมายเรียกและการขยายเวลาการออกหมายเรียกตามมาตรา 19 ได้ คำวินิจฉัยนี้ให้ใช้บังคับถัดจากวันที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป สั่งวันที่ 15 มี.ค. 2560 นายประภาศ คงเอียด รองปลัดกระทรวงการคลัง หัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านรายได้ ปฏิบัติราชการแทนปลัดกระทรวงการคลัง ประธานคณะกรรมการวินิจฉัยภาษีอากร

คลังแจงม.19ไม่เกี่ยวบี้ภาษีแม้ว

นายประภาศ คงเอียด รองปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า คำวินิจฉัยของคณะกรรมการวินิจฉัยภาษีอากร เรื่อง การขยายเวลาการออกหมายเรียกตามมาตรา 19 แห่งประมวลรัษฎากร ที่ประกาศลงราชกิจจานุ เบกษา เมื่อวันที่ 20 มี.ค. เป็นการดำเนินการตามมติที่ประชุมคณะกรรมการวินิจฉัยภาษี เมื่อวันที่ 7 มี.ค. กรณีมาตรา 19 ที่เห็นว่าผู้ยื่นแบบเสียภาษีแต่เสียภาษีไม่ครบ กรมสรรพากรมีอำนาจประเมินภาษีในเวลา 10 ปี แต่ต้องออกหมายเรียกภายใน 5 ปี หากไม่ออกหมายเรียกภายใน 5 ปี ก็จะไม่มีอำนาจการประเมินภาษีได้ และไม่สามารถขยายเวลาได้

“เป็นการประกาศลงราชกิจจาฯเพื่อให้ มีความชัดเจนและบังคับใช้ทั่วไป กรณีที่ ไม่ออกหมายเรียกภายใน 5 ปี จะไม่สามารถขยายเวลาเรียกประเมินภาษีได้ ซึ่งใช้กับ ทุกกรณี อย่าเข้าใจคลาดเคลื่อนว่าประกาศเพื่อเรียกเก็บภาษีหุ้นชินคอร์ป กับนายทักษิณ ชินวัตร เป็นกรณีพิเศษ” นายประภาศกล่าว

นายประสงค์ พูนธเนศ อธิบดีกรมสรรพากร เปิดเผยว่า เป็นความเข้าใจคลาดเคลื่อน กรมสรรพากรไม่ได้ดำเนินการเก็บภาษีหุ้นชินคอร์ป โดยอาศัยมาตรา 19 เพื่อ ขอขยายเวลาเป็นกรณีพิเศษแน่นอน ซึ่ง ไม่สามารถทำได้ ขณะนี้กรมอยู่ระหว่างกระบวนการพิจารณากฎหมาย เพื่อดำเนินการเก็บภาษีหุ้นชินคอร์ป ให้ทันกำหนดเวลาหมดอายุความในวันที่ 31 มี.ค.นี้

ชูศักดิ์จวกอภินิหารฟันทักษิณ

นายชูศักดิ์ ศิรินิล ประธานคณะทำงานฝ่ายกฎหมายพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีนายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ ระบุถึงอภินิหารทางกฎหมาย ในการเรียกเก็บภาษีจากนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ กรณีซื้อขายหุ้นของบริษัทชินคอร์ป เมื่อสิบกว่าปีที่ผ่านมา ว่า อภินิหาร หมายถึง อำนาจที่เหนือปกติที่ให้ไว้ หรือเป็นอำนาจแห่งบารมี ซึ่งเรื่องหุ้นชินคอร์ป มีข้อยุติจากคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญานักการเมืองเมื่อปี 2553 ว่าเป็นของนายทักษิณและภรรยา และพิพากษาให้เงินที่ได้จากการขายหุ้น 4.6 หมื่นล้านบาทในช่วงเป็นนายกฯ 2 สมัยให้ตกเป็นของแผ่นดิน

นายชูศักดิ์กล่าวว่า ต่อมา คตส.ส่งเรื่อง ให้กรมสรรพากรประเมินภาษีการขายหุ้น ชินคอร์ปของบริษัท แอมเพิลริช ให้แก่บุตรชายและบุตรสาวของนายทักษิณ ในที่สุดศาลภาษีอากรกลางวินิจฉัยว่าการประเมินของเจ้าพนักงานและคำวินิจฉัยของกรรมการอุทธรณ์ไม่ชอบ และพิพากษาให้เพิกถอนการประเมิน โดยเหตุผลสำคัญว่าศาลภาษีอากรกลางได้ยึดเอาคำพิพากษาของศาลฎีกาฯ ว่าหุ้นทั้งหมดยังคงเป็นของนายทักษิณและภรรยา บุตรสาวและบุตรชายมิใช่เจ้าของที่แท้จริงของหุ้น จึงมิใช่ผู้มีเงินได้ตามประมวลรัษฎากร มิใช่ผู้รับประโยชน์อันควรคำนวณเป็นราคาเงินได้ ซึ่งแปลความจากคำพิพากษาได้ว่า เมื่อไม่มีการโอนหุ้นดังกล่าวเลย นายทักษิณยังคง เป็นเจ้าของหุ้นอยู่ จึงไม่มีเงินได้หรือผลประโยชน์ประการใดๆ ที่กรมสรรพากรจะประเมินภาษีได้

ห่วงปม”อภินิหาร”ในคดีอื่น

นายชูศักดิ์กล่าวว่า โดยหลักการทั่วไปการกระทำอะไรซ้ำแล้วซ้ำอีกเป็นสิ่งไม่พึงกระทำ อาจแปลได้ว่ามีเจตนาไม่สุจริต มีเจตนากลั่นแกล้งเขา ทางกฎหมายหากฟ้องเขาแล้วแพ้ เขาห้ามมาฟ้องอีก จะกลายเป็นฟ้องซ้ำไม่จบสิ้น คดีนี้หากมีการประเมินภาษีอีกอาจพูดได้ว่าประเมินซ้ำ หากนำขึ้นสู่ศาลก็สู้ได้ว่าเป็นฟ้องซ้ำ จำเลยอาจอ้างได้ว่าศาลได้ตัดสินเป็นที่ยุติแล้วว่าไม่มีนิติกรรมใดๆ เกิดขึ้น อีกทั้งหากจะประเมินก็ล่วงเลยเวลาของกฎหมายมานานแล้ว อาจต้องตีความแบบเทียบเคียง เอาหลักกฎหมายแพ่งที่มิใช่กฎหมายภาษีอากรมาจับโดยรวมทั้งหมดจึงต้องพึ่งอภินิหาร

“ผมไม่คิดว่าเป็นอภินิหารของกฎหมาย แต่อาจเป็นอภินิหารของการแปลความหรือตีความมากกว่า ที่เห็นว่าเป็นอภินิหารแน่ๆ คือกรมสรรพากรเห็นว่าทำไม่ได้มาตลอด แต่มายุคนี้จะใช้อภินิหารว่าทำได้และจะลองเสี่ยงดู จึงต้องตั้งคำถามว่าจะเอาอภินิหารในคดีอะไรกันบ้าง นอกเหนือจากคดีที่เกี่ยวกับนายทักษิณ ที่น่าวิตกมากไปกว่านั้น หากเราจะใช้หลักอภินิหารแล้วคำถามคือหลักนิติธรรมจะไม่ใช้กันแล้วหรือ” นายชูศักดิ์กล่าว

พท.จี้สรรพากรสอบภาษี”ป้อม”

ที่กรมสรรพากร นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ทีมกฎหมายพรรคเพื่อไทย ได้มายื่นหนังสือขอให้กรมสรรพากรตรวจสอบการเสียภาษีของพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และรมว.กลาโหม จากกรณียื่นรายการบัญชีทรัพย์สินอื่นเป็นเช็ค 1 ล้านบาท ต่อป.ป.ช.ในช่วงเป็นรมว.กลาโหม เมื่อวันที่ 22 ธ.ค. 2551 มีการนำเช็คไปถือเป็นเงินได้พึงประเมินเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาไว้ถูกต้องครบถ้วนหรือไม่ โดยมีเจ้าหน้าที่ของกรมสรรพากรรับหนังสือไว้

นายเรืองไกรเปิดเผยว่า ต้องการให้ตรวจสอบด้วยว่าเช็คดังกล่าวซึ่งลงวันที่ 18 ธ.ค.2551 มีการขึ้นเงินหรือไม่ หากขึ้นเงินแล้ว เงินดังกล่าวตามเช็คอาจถือเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 39 แห่งประมวลรัษฎากร ที่พล.อ.ประวิตรควรนำไปยื่นเสียภาษีกับเงินได้ตามมาตรา 40 ภายในวันที่ 31 มี.ค. 2552 หากยังไม่ยื่นเสียภาษี กรมสรรพากรได้ออกหมายเรียกเพื่อให้เสียภาษีตามประมวลรัษฎากร มาตรา 19 และมาตราอื่นที่เกี่ยวข้องหรือไม่ หากพบว่าไม่ออกหมายเรียก ภายใน 5 ปีควรใช้ประมวลรัษฎากรมาตรา 18 ดำเนินการต่อไป เนื่องจากอายุความในหนี้ภาษีอากรมีอยู่ 10 ปี ตามความในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ จึงควรเรียกเก็บภาษีพร้อมเงินเพิ่มและเบี้ยปรับภายในกำหนดเวลาของกฎหมายด้วย

ใช้กม.บี้ภาษีแม้วกับคนอื่นด้วย

นายเรืองไกรกล่าวว่า การมายื่นเรื่องครั้งนี้ไม่ได้เอาคืน เพียงแต่หากรัฐบาลต้องการใช้อภินิหารทางกฎหมายตรวจสอบเสียภาษีการซื้อขายหุ้นของนายทักษิณ ชินวัตร อดีต นายกฯ ก็ต้องตรวจสอบการเสียภาษีของนักการเมืองคนอื่นด้วย รวมถึงกรณีพล.อ.ประวิตร ที่มีหลักฐานเป็นเช็คชัดเจน แต่ไม่ได้หมายถึงพล.อ.ประวิตรจะมีความผิด เพียงแต่ให้กรมสรรพากรตรวจสอบและชี้แจงข้อเท็จจริง ซึ่งกรณีนี้ใกล้เคียงกับกรณีการเก็บภาษีหุ้นชินกับนายทักษิณ ความจริงควรจบแต่มีการใช้ข้อกฎหมายขึ้นมา ทั้งที่ควรว่ากันตามข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายมากกว่า ดังนั้น กรณีของพล.อ.ประวิตรก็เช่นกัน เมื่อมีเงินได้ก็ต้องโดนด้วย จะใช้อภินิหารกฎหมายคงไม่ได้ เพราะกฎหมายไม่ได้บอกว่าจะใช้เฉพาะคนใดคนหนึ่ง

นายเรืองไกรกล่าวว่า เชื่อว่า พล.อ.ประวิตรจะชี้แจงเรื่องนี้กับเจ้าหน้าที่กรมสรรพากรได้ ส่วนความผิดจะมูลค่า 1 ล้านบาท, 1.6 หมื่นล้านบาท หรือ 600 ล้านบาท ถ้าจะใช้ข้อกฎหมายพิสูจน์ในการเก็บภาษีต้องเป็นไปตามหลักนิติรัฐ นิติธรรม และป.ป.ช. ต้องให้ความเป็นธรรมกับเจ้าหน้าที่รัฐที่ดำเนินการตรวจสอบในส่วนนี้ทั้งหมดด้วย อย่างไรก็ตาม กรณีการเรียกเก็บภาษีหุ้นชินนั้นตนมีส่วนร่วมในเหตุการณ์มากที่สุดคนหนึ่ง แต่รัฐบาลทำให้การบังคับใช้กฎหมายกรณีดังกล่าวถูกบิดเบือนไป เห็นได้ชัดจากใช้อภินิหารของกฎหมายเพื่อเรียกเก็บภาษีทำให้มีหลายคนเดือดร้อน โดยเฉพาะกรมสรรพากร

ผู้ว่าฯ สตง.อ้างใช้วิธีสุ่มตรวจ

ที่รัฐสภา นายพิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส ผู้ว่าการสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) กล่าวถึงการแจ้งให้กรมสรรพากรเรียกเก็บภาษีจากผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในช่วงรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กว่า 60 คนว่า สตง.ได้ตรวจทุกภาษี โดยไม่ได้ตรวจสอบเจาะจงที่คนใดคนหนึ่ง ทั้งนี้ตนไม่ได้กล่าวหาว่านักการเมืองโกงภาษี แต่อาจจะเกิดเหตุที่นักการเมืองลืมยื่นแบบรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ลืมเสียภาษีหรือเสียภาษีไม่ครบ จึงเรียกร้องให้นักการเมืองที่รู้ตัว ขอให้ไปยื่นเอกสารแล้วจะไม่ต้องเสียเงินเพิ่ม ส่วนการตรวจสอบผู้ที่ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในรัฐบาลนี้นั้น เนื่องจากขณะนี้เขายังดำรงตำแหน่งอยู่ ถ้าไปตรวจสอบเขาก็จะได้แค่ข้อมูลทรัพย์สินก่อนเข้าดำรงตำแหน่งเท่านั้น จะไม่ได้ข้อมูลหลังจากออกจากตำแหน่ง

เมื่อถามถึงนายเรืองไกรเรียกร้องให้กรมสรรพากรตรวจสอบพล.อ.ประวิตร ที่แจ้งว่ามีทรัพย์สินอื่นเป็นเช็ค 1 ล้านบาทว่าเป็นเงินได้พึงประเมินหรือไม่ ผู้ว่าการ สตง. กล่าวว่า ที่ตนตรวจสอบมายังไม่มีประเด็นนี้ แต่เป็นหน้าที่กรมสรรพากรจะต้องตรวจสอบต่อไป ส่วนสตง.จะติดตามไปตามปกติ เพราะถ้า สตง.ไปตรวจทั้งหมด ทุกคนที่เสียภาษีก็จะไม่ได้อะไรเลย แต่สตง.จะสุ่มตรวจข้อมูลที่มีประโยชน์ อาทิ ผู้ที่มีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นจำนวนมากหลังออกจากตำแหน่ง

ปปช.โยนสรรพากรบี้เก็บภาษี

นายสรรเสริญ พลเจียก เลขาธิการป.ป.ช. กล่าวถึงสตง. ส่งเรื่องให้กรมสรรพากรเรียกเก็บภาษีเงินได้จาก 60 นักการเมือง โดยมี 4 อดีตรัฐมนตรีที่ไม่เสียภาษีโดยแจ้งต่อป.ป.ช.ว่าไม่มีรายได้ และรายได้ไม่ถึงเกณฑ์ต้องเสียภาษีว่า ตามหลัก เมื่อสรรพากรสอบถามมาที่ป.ป.ช.ก็ต้องตรวจสอบจากบัญชีทรัพย์สินที่ยื่นมา ถึงความมีอยู่จริง ความถูกต้อง ความเปลี่ยนแปลงของรายได้ และถ้าเห็นว่ามีรายได้เพิ่มขึ้นก็จะแจ้งไปที่กรมสรรพากร ส่วนต้องเสียภาษีหรือไม่นั้น สรรพากรต้องเป็นผู้พิจารณา ส่วนที่พูดถึงรัฐมนตรีนั้น จำรายละเอียดไม่ได้แล้วว่าใครบ้าง มีรายได้เพิ่มขึ้นหรือไม่อย่างไร

ผู้สื่อข่าวถามว่า 4 อดีตรัฐมนตรีอ้างว่า รายได้ไม่ถึงเกณฑ์หรือไม่มีรายได้นั้น ป.ป.ช. สามารถตรวจสอบได้หรือไม่ เลขาธิการป.ป.ช. กล่าวว่า ป.ป.ช.ส่งเรื่องทำนองนี้ให้กรมสรรพากรตลอด เช่น หากเราสงสัยว่ารายได้ไม่ถึงเกณฑ์ที่ต้องเสียภาษีนั้นจริงหรือไม่ และแจ้งชื่อไปที่สรรพากร ทางสรรพากรจะดูเองว่าเป็นจริงตามที่เขาแจ้งหรือไม่ ป.ป.ช. มีหน้าที่แจ้งข้อมูลอย่างเดียว

เมื่อถามว่าป.ป.ช.ดำเนินการอย่างไรต่อกรณีสตง.ตรวจสอบ 60 นักการเมืองที่ไม่เสียภาษี นายสรรเสริญกล่าวว่า สตง.อาจพบว่ามีรายได้เพิ่มขึ้นโดยดูจากบัญชีทรัพย์สินที่ป.ป.ช. แล้วแจ้งไปที่กรมสรรพากร ทางสรรพากรถามมาที่ป.ป.ช. เราก็ตรวจตามบัญชีทรัพย์สินแล้วแจ้งกลับไปว่ามีรายใดบ้างที่มีทรัพย์สินเพิ่มขึ้น เพิ่มจากอะไรตามที่เราตรวจ ส่วนจะต้องเสียภาษีหรือไม่เป็นหน้าที่สรรพากรต้องเอาข้อมูลป.ป.ช.ไปพิจารณา

ลั่นพร้อมสอบภาษีเช็ค1ล้าน

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและรมว.กลาโหมกล่าวถึงนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ทีมกฎหมายพรรคเพื่อไทย เรียกร้องให้สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ตรวจสอบภาษีว่า ต้องว่ากันตามกฎหมาย ถ้าเห็นว่าตนทำผิด ทุกอย่างต้องเป็นไปตามกฎหมาย ไม่ต้องห่วง ตนปฏิบัติตามกฎหมายเหมือนกับทุกคน ส่วนการเปิดเผยว่ามีเช็คโอนเงินมาให้ 1 ล้านบาทนั้น เรื่องนี้เกิดขึ้นนานแล้วตั้งแต่ปี 2551 ก่อนที่ตนจะเป็นรมว.กลาโหม ขอย้ำว่าตนไม่เคยรับเงินใคร และยืนยันว่า ไม่เคยคิดจะฟ้องร้องใคร ทุกอย่างต้องการให้มีการตรวจสอบ อีกทั้งตนไม่เคยทำผิดกฎหมาย เหมือนประชาชนที่ยึดถือและใช้กฎหมายร่วมกันเป็นหลัก

“ป้อม”ถก4อนุปรองดอง

ที่กระทรวงกลาโหม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและรมว.กลาโหม ในฐานะรองประธานคณะกรรมการเตรียมการเพื่อสร้างความสามัคคีปรองดอง เชิญ 4 คณะอนุกรรมการและผู้ทรงคุณวุฒิ ประชุมสรุปผลคืบหน้าในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา โดยทั้ง 4 คณะ ประกอบด้วย 1.คณะอนุกรรมการ รับฟังความคิดเห็นเพื่อสร้างความสามัคคีปรองดอง ที่มี พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล ปลัดกระทรวงกลาโหม เป็นประธาน 2.คณะอนุกรรมการพิจารณาบูรณาการ ข้อคิดเห็น ข้อเสนอแนะเพื่อสร้างความสามัคคีปรองดอง ที่มีพล.อ.สุรพงษ์ สุวรรณอัตถ์ ผบ.สส. เป็นประธาน 3.คณะอนุกรรมการจัดทำข้อเสนอกระบวนการเพื่อสร้างความสามัคคีปรองดอง ที่มี พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผบ.ทบ. เป็นประธาน และ 4.คณะอนุกรรมการด้าน การประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างความสามัคคีปรองดอง ที่มีพล.ต.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม เป็นประธาน

เตรียมร่างสัญญาประชาคม

จากนั้นพล.ต.คงชีพ แถลงว่า ขณะนี้อยู่ ในช่วงรับฟังความคิดเห็นจากพรรค กลุ่มการเมืองต่างๆ และภาคประชาคม ทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ซึ่งมีหนังสือเชิญพรรคทั้งหมด 70 พรรคกับ 2 กลุ่มการเมืองและ อีก 60 องค์กรภาคประชาชน มีพรรคมาให้ข้อคิดเห็นแล้ว 53 พรรค และ 2 กลุ่มการเมือง จะเสร็จสิ้นวันที่ 5 เม.ย.นี้ ส่วนการรับฟังความคิดเห็นในพื้นที่ มีกอ.รมน.ภาค เป็น เจ้าภาพ คาดว่าจะครบทั้ง 76 จังหวัดในวันที่ 23 มี.ค. มีผู้มาให้ความคิดเห็นแล้ว 20,000 กว่าราย จากนั้นจะนำข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาคมาสรุปประเด็นความเห็นร่วม ก่อนประชุมกลุ่มย่อยในเดือนเม.ย.นี้ เพื่อปรับปรุงให้สมบูรณ์เป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย โดยการประชุมกลุ่มย่อยในส่วนกลางจะดำเนินการ 1 ครั้ง วันที่ 19 เม.ย. ส่วนระดับพื้นที่ 4 ครั้ง คือวันที่ 20-30 เม.ย. และในเดือนมิ.ย. จะดำเนินการให้เสร็จสิ้น ซึ่งจะได้เห็นร่างสัญญาประชาคม

“ร่างสัญญาประชาคมนี้ มาจากการ จัดทำข้อพิจารณาข้อคิดเห็นร่วม และออก เผยแพร่เวทีสาธารณะ เพื่อรับฟังความคิดเห็นประชาชนครั้งสุดท้าย เพื่อปรับปรุงเป็นร่างสัญญาประชาคมที่มองถึงประโยชน์ของประชาชน เพื่อกำหนดอนาคตการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขและขับเคลื่อนพัฒนาประเทศ ต่อไป” พล.ต.คงชีพกล่าว

ประชาชนต้องรู้-ร่วมปรองดอง

พล.อ.ประวิตรให้สัมภาษณ์หลังประชุมถึงข้อเสนอกลุ่ม กปปส.เรียกร้องปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง ว่า ต้องให้คณะอนุกรรมการชุด 2 รวบรวมข้อมูล เรารับฟังความคิดเห็นทุกฝ่ายอยู่แล้ว มีโรดแม็ปอยู่แล้วก็ต้องยึดตามนั้น ไม่มีใครมาเปลี่ยนแปลงโรดแม็ปได้ ถ้ามีความจำเป็นที่จะเลื่อนโรดแม็ปก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

เมื่อถามถึงสัญญาประชาคม จะเป็นรูปแบบใด พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า กำลังดำเนินการอยู่ หากได้รายละเอียดทั้งหมดแล้วจะชี้แจงอีกครั้ง ขณะนี้เรายังอยู่แค่ต้นทาง ยังไม่ถึงปลายทาง ไม่ต้องรีบ เพราะมีกำหนดไว้ในเดือนมิ.ย. ต้องทำให้เสร็จ จากนั้นจะเน้นการประชาสัมพันธ์ที่มีกรอบชี้แจงเป็นระยะอยู่แล้ว ไม่ใช่ตนเป็นคนตอบเพียงคนเดียว ขอย้ำว่าต้องให้ประชาชนรับรู้ และมีส่วนร่วมสร้างปรองดอง

ป้อมสวนโกตี๋-เอาตัวให้รอด

พล.อ.ประวิตรกล่าวถึงเจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจ จ.ปทุมธานี บุกเข้าตรวจค้นบริษัท ไทยแม็กซ์กรุ๊ป จำกัด เลขที่ 1/1 หมู่ 6 ต.คูคต อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี และบ้านปูน 2 ชั้น ซึ่งเป็นบ้านพักของเครือข่ายนายวุฒิพงศ์ กชธรรมคุณ หรือโกตี๋ แกนนำเสื้อแดงปทุมธานี ซึ่งภายในบ้านพบอาวุธสงครามจำนวนมากว่า เราติดตามมาตลอด ซึ่งพื้นที่ ดังกล่าว เจ้าหน้าที่ได้เข้าตรวจแล้วครั้งหนึ่ง แต่ไม่พบอาวุธสงคราม จากนั้นมีการเคลื่อนย้ายอาวุธกลับเข้ามาอีก ซึ่งทางการข่าวของตนได้ติดตามพฤติกรรมของกลุ่มนี้ รวมทั้งประชาชนที่ไม่ต้องการให้เกิดความรุนแรงได้แจ้งข่าวมาอีก ทำให้การข่าวตรงกัน จนเป็นที่มาของการตรวจค้นแล้วจับกุม ไม่ใช่อยู่ดีๆ จะเดินเข้าไปจับเลย ทำแบบนั้นไม่ได้

“ผมตามข่าวนี้มานาน ตามมาตลอด ไม่ต้องกลัวในเรื่องความมั่นคง เราตาม ทุกเรื่อง จำไว้ ส่วนโกตี๋ออกข่าวว่ามีการ จัดฉากก็โกตี๋จัดฉากไง ก็ว่ากันไป ตอนนี้ เอาตัวให้รอดเถอะ” พล.อ.ประวิตรกล่าว

ยันไม่ได้กล่าวโทษใคร

เมื่อถามว่าข่าวออกมาว่าจะนำอาวุธมาลอบสังหารผู้นำ พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า เจ้าหน้าที่ต้องสืบสวนข้อเท็จจริงต่อไป เรื่องดังกล่าว นายโกตี๋เป็นคนพูดและประกาศ ลั่นเลย แถมมีคนรับลูก ซึ่งมันมีแนวทางว่าจะมาทำงานกันในแถวนั้น คิดดูแล้วกันว่าจะไป ก่อเหตุที่ใด แต่ตนไม่ทราบ เพราะยังไม่ เกิดขึ้น ทั้งจะขอตัวนายโกตี๋ จากทางการลาว เพราะมีคดีอาญาเรื่องคดีอาวุธสงครามใน ไทย ซึ่งจะทำเรื่องขอตัวผู้ร้ายข้ามแดน

พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า การจับอาวุธสงครามได้จำนวนมากในครั้งนี้มองได้หลายอย่าง ทั้งมือที่สาม และผู้จะเข้ามาก่อเหตุ ตนได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ติดตามเรื่องนี้ให้ถึงที่สุด ไม่หยุดเพียงเท่านี้ ส่วนจะมีผู้บงการ อยู่เบื้องหลังหรือไม่ ตนไม่ทราบและไม่เคยว่าใคร และการที่แกนนำนปช.ออกมาพูดนั้น ตนไม่เคยพาดพิงไปถึง จะใช่หรือเปล่าก็ไม่รู้ นายโกตี๋เป็นเสื้อแดงปลอมก็ได้ เราไม่โทษใคร

โฆษกตร.โต้อีกไม่มีจัดฉาก

ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษกตร. กล่าวถึงการตรวจค้นเป้าหมาย 9 จุด ตรวจยึดอาวุธสงครามเครือข่ายโกตี๋ว่า กลุ่มนี้มีการเคลื่อนไหวอย่างมากในการชุมนุมทางการเมืองที่ผ่านมา ระดมคน อาวุธและเงินทุนจำนวนมากเพื่อใช้ก่อความไม่สงบ ซึ่งการปฏิบัติการครั้งนี้บูรณาการกันหลายหน่วยงาน โดยพล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. ลงไปอำนวยการด้วยตนเอง

พ.ต.อ.กฤษณะกล่าวต่อว่า ส่วนที่มองว่าเป็นการจัดฉากโดยเจ้าหน้าที่รัฐนั้น อยากให้พิจารณาอาวุธสงครามที่ยึดได้และบุคคลต้องสงสัย 9 รายที่ถูกควบคุมตัว ซึ่งเจ้าหน้าที่ทหารกำลังซักถาม โดยผู้ต้องสงสัยที่ถูกควบคุมตัว ยอมรับว่ามีการสะสมอาวุธเพื่อดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่ง และการตรวจค้นยังดำเนินการอยู่ ขยายผลเพิ่มเติมถึงบุคคลที่เกี่ยวข้องทั้งหมด รวมทั้งตรวจสอบความเชื่อมโยงถึงท่อน้ำเลี้ยงด้วย กรณีนี้เรามีพยานหลักฐาน มีคำให้การซัดทอดของผู้ต้องสงสัย เชื่อมโยงกับข้อมูลด้านการข่าวสอดคล้องกัน เจ้าหน้าที่รัฐคงไม่ปรักปรำใครเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ ส่วนการดำเนินคดี ขณะนี้ผู้ต้องสงสัยอยู่ในการควบคุมตัวของทหาร หากส่งตัวมาก็มีการสอบสวนหากเข้าข้อกฎหมาย เข้าองค์ประกอบความผิดก็ดำเนินคดีได้อยู่แล้ว ทุกอย่างโปร่งใส และเปิดเผยได้ใน ส่วนที่ไม่กระทบต่อการสอบสวนเพื่อตอบ ข้อสงสัยของประชาชนได้

ย้ำซ้ำโยง”ธรรมกาย”

พ.ต.อ.กฤษณะกล่าวว่า บุคคลกลุ่มนี้จากการข่าว มีการปลุกระดมทางโซเชี่ยลมีเดีย สื่อธรรมดาด้วย ปลุกระดมเพื่อลดความ น่าเชื่อถือของคสช.และรัฐบาล มีความเกี่ยวข้องกับการลอบสังหารผู้นำประเทศ รวมทั้งบุคคลสำคัญ เชื่อมโยงกับการตรวจค้นวัดพระธรรมกาย ทำให้การตรวจค้นยากลำบาก ซึ่งตำรวจมีการสืบสวน เก็บรวบรวมพยานหลักฐานตลอดมา ทุกอย่างเชื่อมโยงกัน ทำให้เชื่อว่ามีความพยายามทำให้เกิดเหตุขึ้นจริง จนเป็นที่มาของปฏิบัติการครั้งนี้ และจะตรวจสอบความเชื่อมโยงกับเหตุวินาศกรรมในพื้นที่ กทม.ก่อนหน้านี้ด้วย ส่วน 9 ผู้ต้องสงสัยให้การเป็นประโยชน์ กำลังซักถามอยู่แต่ไม่ขอลงรายละเอียด

เมื่อถามว่าการติดตามนำตัวโกตี๋ มาดำเนินคดี พ.ต.อ.กฤษณะกล่าวว่าอยู่ระหว่างการสืบสวนหาข่าวว่าอยู่ในประเทศใดเพื่อให้ส่งตัวมาดำเนินคดี อาจมีอุปสรรคในการประสานงานบ้าง ซึ่งเป็นเรื่องปกติ แต่ขอให้ทุกฝ่ายไม่ต้องกังวล เพราะคดีมีอายุความ ขณะนี้เราใช้ทุกช่องทางประสานงาน ทั้งความสัมพันธ์ระดับรัฐบาล และระดับ เจ้าหน้าที่ทหาร-ตำรวจ ซึ่งเรามีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน และถึงขณะนี้มีการดำเนินการอย่างต่อเนื่อง

ศรีวราห์ชี้เป็นเรดเรดิโอไม่ใช่แดง

พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผบ.ตร. กล่าวว่า หลังจากกองทัพซักถาม ผู้ต้องสงสัยทั้ง 9 รายแล้วจะส่งให้ตำรวจดำเนินการต่อ ส่วนที่มาของอาวุธปืนสงครามที่ตรวจยึดได้นั้น ตนถามทางกองทัพ ทราบว่าบางกระบอกหายไปตั้งแต่เหตุการณ์ชุมนุม ปี 2553 ส่วนปืนที่เหลือส่งมอบให้พิสูจน์หลักฐานตรวจสอบ แต่ไม่เกี่ยวกับเหตุการณ์ยักยอกปืนที่ค่ายตชด. จ.อุดรธานี เมื่อปี 2554 ส่วนสำนวนคดี เป็นอำนาจของกองบังคับ การปราบปราม (บก.ป.) หรือถ้าบางกรณี เข้าข่ายประกาศของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) อธิบดีดีเอสไอก็ต้องมารับสำนวนไปทำ ส่วนเครือข่ายโกตี๋ นอกจาก 9 รายนี้แล้วจะมีมากน้อยแค่ไหน ต้องรอให้กองทัพสอบสวนก่อน แต่โดยวัตถุพยานที่ปรากฏว่ามีความผิดชัดเจน ยืนยันว่าไม่มีการจัดฉากกลั่นแกล้ง จะไปหาซื้อปืน M16 ที่ไหนมาแจกจ่าย โดยเฉพาะปืนบางชนิดไม่มีใช้ในราชการ กองทัพหรือตร.ด้วยซ้ำ บุคคลเหล่านี้อย่าไปเรียกว่าเป็นกลุ่มคนเสื้อแดงเลย แต่ถ้าเรียกว่าเป็นกลุ่ม red radio ก็ถือใช่

พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีดีเอสไอ กล่าวถึงกองปราบฯ เตรียมโอนสำนวนคดี ที่พบอาวุธสงคราม ในพื้นที่ 7 จังหวัด ที่ เชื่อมโยงกับเครือข่ายโกตี๋ มาให้ว่า เบื้องต้น ดีเอสไอยังไม่ได้รับเอกสารอย่างเป็นทางการ แต่ถ้าตำรวจยืนยันว่าอาวุธที่ตรวจพบ เป็นอาวุธที่ใช้ทำความผิดในเหตุการณ์ชุมนุมมื่อ ปี 2553 ซึ่งดีเอสไอรับผิดชอบอยู่แล้ว ตำรวจสามารถโอนสำนวนคดีมายังดีเอสไอได้ทันที เนื่องจากคดีดังกล่าวยังมีของกลางที่ใช้ทำ ความผิดบางส่วนที่ยังหาไม่พบ ดังนั้นเมื่อ พบเพิ่มเติมก็จะนำอาวุธที่ตรวจพบ มาบรรจุไว้ในบัญชีของกลางของสำนวนคดีดังกล่าว ตามขั้นตอนกฎหมาย

ค้นตู้คอนเทนเนอร์ยังไม่เจออาวุธ

พ.ต.อ.โสภณ มงคลโสภณรัตน์ ผกก.สภ.บางพลี พ.ต.กฤษรินทร์ ทองอุไร นายทหารฝ่ายยุทธการและการ ฝึก ร.21 พัน.2 รอ. นำกำลังเจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการตรวจค้น ตู้คอนเทนเนอร์ ทั้งตำรวจ ทหารและฝ่ายปกครองรวม 400 นาย เข้าตรวจค้นตู้คอนเทนเนอร์ภายในบริษัท เกรทติ้ง ฟอร์จูน คอนเทนเนอร์ เซอร์วิส (ประเทศไทย) จำกัด เลขที่ 10 หมู่ 12 ต.บางพลีใหญ่ อ.บางพลีใหญ่ จ.สมุทรปราการ เป็นวันที่ 3 เพื่อค้นหาอาวุธสงคราม วัตถุระเบิดและสิ่งของผิดกฎหมาย จนถึง 12.00 น. เจ้าหน้าที่ตรวจค้นได้เพิ่มอีก 276 ตู้ รวมตรวจค้นไปแล้ว 1,404 ตู้ คิดเป็นร้อยละ 63.73 แต่ยังไม่พบอาวุธ สงครามใดๆ ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ได้ติดสติ๊กเกอร์ ที่หน้าตู้คอนเทนเนอร์ที่ผ่านการตรวจสอบ รวมถึงนำเชือกฟางมากั้นบริเวณตู้ที่ตรวจสอบเรียบร้อยด้วย

จ่านิวจี้ปล่อยไผ่-โดนละเมิดศาล

วันเดียวกันนี้ นายอานนท์ นำภา ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน โพสต์ข้อความทางเฟซบุ๊ก ระบุว่ามีการตั้งข้อหาผู้ทำกิจกรรมรณรงค์ “ปล่อยไผ่” เมื่อวันที่ 10 ก.พ. 2560 เพิ่มอีก 3 คน จากเดิมที่ก่อนหน้านี้มีนักศึกษามหาวิทยาลัยขอนแก่นถูกตั้งข้อหาไปแล้ว 4 คน โดยศาลนัดพิจารณาคดีหมิ่นศาลในวันที่ 24 เม.ย.นี้ เวลา 09.00 น. และหนึ่งในผู้ถูกกล่าวหาละเมิดอำนาจศาลรอบล่าสุดคือ นายสิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ หรือ จ่านิว นักกิจกรรมนักศึกษา ที่เคลื่อนไหวตรวจสอบการใช้อำนาจของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) มาอย่างต่อเนื่อง จนถูกดำเนินคดีมาแล้วหลายครั้ง

ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนได้ รับรายงานว่ามีนักศึกษาถูกแจ้งข้อกล่าวหาละเมิดอำนาจศาลเพิ่มอีก 3 ราย โดยมีนาย ภานุพงศ์ ศรีธนานุวัฒน์ นักกิจกรรมกลุ่มดาวดินและนักศึกษาคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ปี 4 นายเอ (นามสมมติ) นักศึกษาคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง ปี 2 และนายสิรวิชญ์ โดยก่อนหน้านี้มีนักศึกษาที่โดนข้อหาเดียวกัน 4 ราย ปัจจุบันมีนักศึกษาที่โดนคดีละเมิดอำนาจศาล จากการจัดกิจกรรมให้กำลังใจ นายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา หรือ ไผ่ ดาวดิน ทั้งสิ้น 7 ราย และศาลนัดพิจารณาคดีวันที่ 24 เม.ย.นี้

คดีดังกล่าวเนื่องจากเมื่อวันที่ 10 ก.พ.ที่ผ่านมา ที่ศาลจังหวัดขอนแก่น กลุ่มกิจกรรมเครือข่ายนักศึกษา 4 ภาค จัดกิจกรรมให้กำลังใจและเรียกร้องให้ศาลจังหวัดขอนแก่นอนุญาตสั่งให้ประกันตัวนายจตุภัทร์

ด้านนายภานุพงศ์กล่าวว่า เมื่อวันที่ 10 ก.พ.ที่ทำกิจกรรมนั้น กลุ่มเครือข่ายนักศึกษา 4 ภาค เห็นว่าไผ่ไม่ได้รับความเป็นธรรมในกระบวนการยุติธรรม กลุ่มนักศึกษาจึงออกมาแสดงออก ยืนยันว่าพวกตนไม่ได้โจมตีศาล แค่ออกมาให้กำลังใจเพื่อนที่เรารู้สึกว่าเขาถูกกระทำอย่างไม่เป็นธรรม

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน