อีก 58 องค์กร เครือข่ายเด็กร่วมจี้คลี่ปมทหารจับตาย “ชัยภูมิ” เยาวชนลาหู่ ทำเกินกว่าเหตุหรือไม่ ต้องนำหลักฐานมาแสดงถอดสลักระเบิด ตามที่อ้างจริงหรือไม่ แล้วทำไมถูกยิงด้านหลัง ขณะที่กรรมการสิทธิฯ เตรียมลงพื้นที่สอบปากคำผู้เกี่ยวข้อง มีหนังสือให้ทั้ง 2 ฝ่ายชี้แจง ส่วน ตร.ภาค 5 ประชุมความคืบหน้าคดี ผบช.ยันผู้ตายมีประวัติเกี่ยวข้องยาเสพติดจริง อ้างพบหลักฐานโอนเงินเข้าบัญชี ทั้งยังเคยถูกล่อซื้อด้วย แต่หนีไปได้ ด้านโฆษกทบ.ระบุ ผบ.ทบ.สั่งกองทัพภาค 3 ตั้งกก.สอบสวนคู่ขนาน

จากกรณีทหารจับตายนายชัยภูมิ ป่าแส เยาวชนเผ่าลาหู่ วัย 17 ปี นักกิจกรรมทางสังคม โดยอ้างว่าวิ่งหนีขณะตรวจค้นยาเสพติด และเตรียมขว้างระเบิดใส่ จึงจำเป็นต้องวิสามัญฆาตกรรม จากเหตุการณ์ดังกล่าวทางเครือข่ายชนเผ่า 33 องค์กร พร้อมด้วยองค์กรสิทธิมนุษยชนระดับโลก ต่างออกแถลงการณ์เรียกร้องความเป็นธรรม และตั้งข้อสงสัยว่าเจ้าหน้าที่กระทำการเกินกว่าเหตุหรือไม่ ต่อมา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) สั่งให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้ว ตามที่เสนอข่าวไปนั้น

ความคืบหน้าเมื่อวันที่ 22 มี.ค. ที่กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 จ.เชียงใหม่ พล.ต.ท.พูลทรัพย์ ประเสริฐศักดิ์ ผบช.ภาค 5 พร้อมด้วย พล.ต.ต.ภาณุเดช บุญเรือง รอง ผบช.ภาค 5 พ.ต.อ.มงคล สัมภวะผล รอง ผบก.เชียงใหม่ พ.ต.อ.ชลเทพ ไหมไทย ผกก.สภ.นาหวาย และร.ต.อ.สงวน มีกลิ่น พนักงานสอบสวน สภ.นาหวาย อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ เจ้าของคดีวิสามัญฯนายชัยภูมิเข้าร่วมประชุม

พล.ต.ท.พูลทรัพย์กล่าวว่า จากการประชุมและได้รับรายงานจากสภ.นาหวาย ยืนยันว่าตำรวจจะดำเนินการทุกอย่างตามขั้นตอน และพยานหลักฐานเพื่อให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ส่วนนายชัยภูมิซึ่งถูกยิงเสียชีวิตนั้น มีประวัติเกี่ยวข้องกับยาเสพติดจริง เพราะมีพยานหลักฐานการโอนเงินเข้าบัญชีนายชัยภูมิ และเมื่อต้นเดือนม.ค. เจ้าหน้าที่เคยล่อซื้อยาเสพติดจากนายชัยภูมิ แต่หลบหนีการจับกุมไปได้

ผบช.ภาค 5 กล่าวว่า จุดเกิดเหตุเป็นเส้นทางลักลอบลำเลียงยาเสพติดตามแนวชายแดน และพยานหลักฐานของตำรวจชี้ชัดว่านายชัยภูมิเป็นผู้ค้ายาเสพติด พร้อมมีหลักฐานมัดชัดเจน ส่วนทหารที่วิสามัญฯนั้น ทางตำรวจแจ้งข้อหา และทหารนายดังกล่าวเข้าพบตำรวจสภ.นาหวาย รับทราบข้อกล่าวหาแล้ว ทางตำรวจพร้อมดำเนินการตามกระบวนการทางกฎหมายต่อไป ต้องขอความเห็นใจ เจ้าหน้าที่ที่อยู่ตามแนวชายแดนที่ปฏิบัติหน้าที่ป้องกันยาเสพติดด้วย อย่าเพิ่งด่วนตัดสินใจว่าใครผิด หรือไม่ผิด

ส่วนร.ต.อ.สงวน พนักงานสอบสวน สภ.นาหวาย เจ้าของคดี กล่าวถึงคดีทหารกองกำลังผาเมืองวิสามัญฯ นายอาเบ แซ่หมู่ อายุ 32 ปี เมื่อวันที่ 15 ก.พ.2560 ลักษณะคดีคล้ายกับนายชัยภูมิ อ้างว่าเตรียมระเบิดขว้างต่อสู้ และเกิดเหตุบริเวณด่านตรวจเดียวกันว่า อยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐานอยู่ โดยส่งระเบิดของ ผู้ตายไปตรวจสอบ และอยู่ระหว่างรอผลตรวจพิสูจน์อีกหลายอย่าง คดียังไม่ได้ส่งฟ้อง ส่วนคดีนายชัยภูมินั้นกำลังสืบหาพยานอยู่

ต่อมาผู้สื่อข่าวสอบถามไปยังชาวบ้านในที่เกิดเหตุวิสามัญฯนายชัยภูมิ โดยขณะเกิดเหตุมีชาวบ้านจำนวนหนึ่งอยู่ใกล้เหตุการณ์ พร้อมทั้งระบุว่าขณะเกิดเหตุเป็นตอนกลางวัน ชาวบ้านเห็นทหารควบคุมตัวผู้ต้องหาไปสอบสวน แล้วได้ยินเสียงโวยวายต่อว่ากัน แล้วเห็นผู้ตายวิ่งหนีออกมา ได้ยินเสียงปืน ดังขึ้น 3 นัด โดยทหารยิงขู่ 2 นัด และยิงใส่ ผู้ตาย 1 นัด

ที่กองบัญชาการกองทัพบก พ.อ.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบกกล่าวว่า พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผบ.ทบ. สั่งการให้กองทัพภาคที่ 3 ตั้งคณะกรรมการสอบสวนเรื่องนี้เป็นการเฉพาะคู่ขนานเพิ่มเติม โดยมีพล.ต.สมพงษ์ แจ้งจำรัส รองแม่ทัพภาคที่ 3 เป็นประธานคณะกรรมการตรวจสอบ และจะเดินทางไปกองกำลังผาเมืองเพื่อสอบสวนเหตุการณ์ ถึงแม้ว่าเรื่องนี้ดำเนินการไปตามขั้นตอนของกระบวนการยุติธรรมแล้วก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นการดำเนินคดีกล่าวหาว่ามียาเสพติด มีการต่อสู้ และพยายามฆ่าเจ้าพนักงาน

พ.อ.วินธัยกล่าวว่าจากการติดตามข่าวสารของสื่อมวลชน พบข้อมูลคือสถานะส่วนตัวของนายชัยภูมิที่เป็นนักกิจกรรม จึงคาดเดากึ่งฟันธงไปว่านักกิจกรรมไม่สามารถไปยุ่งเกี่ยวเรื่องยาเสพติดได้ กับในบางความเห็นก็แย้งมาในทำนองว่าจากประวัติเรื่องยาเสพติดที่ผ่านมา ทำให้เชื่อได้ว่าอาจจะไม่เข้าใครออกใคร ไม่ว่าจะเป็นบุคคลกลุ่มไหน อาชีพไหน สถานะไหน ที่ผ่านมาก็มีทั้งข้าราชการ ศิลปิน นักแสดง นักเรียน นักศึกษา ผู้ครองสมณเพศ หรือแม้แต่ตัวเจ้าหน้าที่เองก็ตาม แต่กองทัพบกยินดีสนับสนุน เพื่อคลี่คลายข้อสงสัยให้สังคมภายใต้กลไกที่มีอยู่ให้ดีที่สุด โดยจะเน้นข้อเท็จจริงที่จับต้องได้ หลีกเลี่ยงการใช้ความรู้สึกคาดเดา

โฆษกกองทัพบกกล่าวต่อว่า ข้อสังเกตสำคัญสำหรับภาพรวมเหตุการณ์ ใบเบื้องต้นพบมีผู้กระทำความผิด 2 คน แต่เกิดเหตุอันน่าเสียใจกับนายชัยภูมิเพียงคนเดียว อาจบ่งบอกถึงพฤติกรรมของทั้ง 2 คนย่อมไม่เหมือนกัน โดยเฉพาะลักษณะของด่านตรวจค้นเป็นด่านถาวร และเป้าประสงค์พื้นฐานของ เจ้าหน้าที่ประจำด่านจะเน้นเพียงตรวจค้น ไม่ใช่ชุดกำลังเฉพาะกิจที่เตรียมไว้รองรับการปะทะ เหมือนเป้าหมายอื่นๆ ที่จำเป็นต้องใช้กำลังบังคับ การใช้อาวุธของเจ้าหน้าที่ครั้งนี้เชื่อว่าไม่ได้อยู่ในแผนจริงๆ พ.อ.วินธัยกล่าวอีกว่า ส่วนนายพงศนัย แสงตะล้า ผู้ต้องหาอีกคนที่ถูกตำรวจควบคุมตัวนั้น เจ้าหน้าที่จะดูแลเป็นอย่างดี เนื่องจากได้รับความร่วมมือด้านข้อมูลที่เป็นประโยชน์เกี่ยวกับรูปคดีอย่างมาก เจ้าหน้าที่ยินดีและพร้อมสนับสนุนกรณีการต่อสู้แก้ต่างคดีได้ตามกระบวนการยุติธรรม และพร้อมให้ความเป็นธรรมอย่างดีที่สุด คงไม่น่าเป็นห่วงแต่อย่างใด

“ขอให้สังคมได้พิจารณา และใช้เหตุผลในทุกมิติ ทั้งการทำงานของเจ้าหน้าที่ในการตรวจค้นยาเสพติด พฤติกรรมของผู้ต้องหา สภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น กองทัพบกเข้าใจความรู้สึกของทุกฝ่าย ทั้งความเสียใจของญาติครอบครัวที่มีความเชื่อไปอีกแบบ ส่วน เจ้าหน้าที่เองก็รู้สึกกดดัน และไม่สบายใจเช่นกันที่ได้พยายามปฏิบัติหน้าที่ตามสภาพเหตุการณ์อย่างดีที่สุดแล้ว ในคดีนี้ขอให้ทุกฝ่ายให้เวลากับการพิสูจน์ และตรวจสอบข้อเท็จจริงที่กำลังดำเนินการโดยกระบวนการยุติธรรมอยู่ในขณะนี้ น่าจะเป็นสิ่งที่เหมาะสมที่สุด” โฆษกกองทัพบกกล่าว

วันเดียวกัน ที่โรงแรมเซ็นทารา ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ มูลนิธิอาสาสมัครเพื่อสังคม พร้อมด้วยเครือข่ายองค์กรเด็ก รวม 58 องค์กร นำโดย น.ส.เนตรดาว ยั่งยุบล ผู้ประสานงานมูลนิธิอาสาสมัครเพื่อสังคม ออกแถลงการณ์กรณีทหารวิสามัญฯนายชัยภูมิว่า เป็นการกระทำที่โหดร้าย ป่าเถื่อน และไร้มนุษยธรรม ขอเรียกร้องต่อพล.อ.ประยุทธ์ นายกฯ และองค์กรด้านสิทธิมนุษยชน โดยเฉพาะคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ(กสม.) ลง พื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงโดยเร่งด่วน

แถลงการณ์ระบุพร้อมทั้งขอให้หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องด้านความปลอดภัยในชีวิตของผู้ที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ มีมาตรการและกลไกตรวจสอบข้อเท็จจริง และคืนความเป็นธรรมให้กับผู้เสียชีวิต ญาติผู้เสียชีวิต และเพื่อนผู้เสียชีวิตที่ถูกจับกุมคุมขังในขณะนี้อย่างเร่งด่วน เครือข่ายองค์กรทำงานด้านเด็กและเยาวชนจะติดตามความคืบหน้าการดำเนินการตรวจสอบตามข้อเรียกร้อง และยินดีสนับสนุนการปฏิบัติการที่ดีของบุคคลและหน่วยงานทุกภาคส่วน

น.ส.เนตรดาวกล่าวว่า ความจริงนายชัยภูมิต้องมาร่วมงานมหกรรมการขับเคลื่อนพลังองค์กรทำงานเด็กและเยาวชนเพื่อสร้างพลเมืองเข้มแข็งที่ทางเครือข่ายจัดขึ้นในวันที่ 22 มี.ค.นี้ แต่ก็มาเสียชีวิตเสียก่อน วันที่เสียชีวิตนายชัยภูมิเพิ่งกลับจากไปขอใบอนุญาตขอออกพื้นที่เพื่อเดินทางมางานนี้ ก็เหมือนเป็นความผิดของเราที่มีส่วนให้น้องเสียชีวิต ทางเครือข่ายจึงเรียกร้องให้ตรวจสอบเรื่องนี้อย่างชัดเจน เพราะนายชัยภูมิเป็นเยาวชนไม่มีสัญชาติ กว่าที่เขาจะกล้าลุกขึ้นมาต่อสู้ในเรื่องชาติพันธุ์ เขาต้องยอมที่จะถูกกดทับจากภายนอก ถือว่าเป็นคนที่เสียสละมากคนหนึ่ง แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ ก็ยากที่เยาวชนคนอื่นจะลุกขึ้นมาต่อสู้

น.ส.เนตรดาวกล่าวต่อว่า กรณีนายชัยภูมิต้องแยกเป็น 2 กรณีคือ 1.ที่ถูกกล่าวหาว่าเกี่ยวข้องกับยาเสพติด ไม่สืบจากข้อมูลเพียงด้านเดียว 2.การกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐกระทำเกินกว่าเหตุหรือไม่ ต้องเอาหลักฐานมาแสดง มีการถอดสลักระเบิดหรือไม่ และนายชัยภูมิถูกยิงจากด้านหลังจะปาระเบิดใส่เจ้าหน้าที่ได้จริงหรือไม่ จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นสร้างความสะเทือนใจ และความหวาดกลัวให้กับชาวลาหู่เป็นอย่างมาก คนในพื้นที่รู้สึกว่าไม่ปลอดภัย หวังว่าจะมีความร่วมมือจากหลายหน่วยงานทั้งในและต่างประเทศ เพื่อให้เป็นตัวอย่างของเยาวชนที่ลุกขึ้นมาต่อสู้ จะไม่ถูกกระทำในลักษณะเช่นนี้อีก

วันเดียวกัน นางวิไลลักษณ์ เยอเบอะ เลขาธิการเครือข่ายเยาวชนต้นกล้า ที่ร่วมกิจกรรมกับนายชัยภูมิกล่าวว่า จุดเกิดเหตุเป็นลานกว้าง มีชาวบ้านรอรถโดยสารและผ่านไปผ่านมาค่อนข้างมาก โดยชาวบ้านที่เห็นเหตุการณ์บอกว่าเห็นผู้ตายวิ่งหนีออกมา และทหารไล่ติดตามก่อนมีเสียงปืนดัง มีพยานเห็นหลายคน จึงอยากให้สืบหาข้อเท็จจริงจากพยานหลายๆ ปาก เพื่อความกระจ่างในคดีนี้ และให้ความเป็นธรรมกับนายชัยภูมิและครอบครัว

เลขาฯเครือข่ายเยาวชนต้นกล้ากล่าวว่า ทราบว่าครูผู้สอนไปเยี่ยมนายพงศนัยมาแล้ว และสอบถามถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น ปรากฏว่านายพงศนัยบอกไม่รู้เรื่องอย่างเดียว ไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งนั้น ทั้งยาเสพติดที่เจ้าหน้าที่พบ และกรณีที่นายชัยภูมิถูกยิงเสียชีวิต นายพงศนัยหวาดกลัวและวิตกอย่างมาก

ด้านนายชาติชาย สุทธิกลม กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ(กสม.) กล่าวว่า ที่ประชุมเมื่อวันที่ 21 มี.ค. นำเรื่องนายชัยภูมิมาพิจารณา ที่ประชุมมีมติให้อนุกรรมการด้านสิทธิในกระบวนการยุติธรรมตรวจสอบ 3 ประเด็นคือ 1.การถูกวิสามัญฯเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมายหรือไม่ 2.การยิงของทหารเป็นเหตุเป็นผลที่จะวิสามัญฯหรือไม่ และ 3.การชันสูตรพลิกศพดำเนินการด้วยความรอบคอบ ตามหลักกระบวนการยุติธรรมหรือไม่

นายชาติชายกล่าวว่า หลังจากนี้ก็เปิดให้ญาติผู้เสียหาย ผู้เห็นเหตุการณ์ นำข้อมูลมายื่นชี้แจงต่อกสม.ได้ และอนุกรรมการจะมีหนังสือไปยังญาติผู้เสียหายให้ยื่นหนังสือชี้แจงต่ออนุกรรมการ นอกจากนี้ ต้องทำหนังสือแจ้งเจ้าหน้าที่ เพื่อให้ชี้แจงกรณีดังกล่าวเพื่อความเป็นธรรมของทั้ง 2 ฝ่าย และอนุกรรมการจะลงพื้นที่ไปสอบปากคำ ผู้เกี่ยวข้องด้วย และในขณะนี้อยู่ในกระบวน การของแพทย์ อัยการ รวบรวมเอกสารส่งให้ศาลไต่สวนว่าการเสียชีวิต ชั้นนี้หากญาติผู้เสียชีวิตมีเอกสาร หลักฐาน สามารถยื่นโต้แย้งในศาลได้ กสม.เป็นเพียงผู้ตรวจสอบเพื่อนำข้อมูล ข้อเท็จจริง ไปชี้แจงในศาล ไม่ได้เป็นผู้ชี้ขาดว่าใครผิดใครถูก เพราะสุดท้ายผู้ตัดสินคือศาล

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน