หมอมีคำตอบ! ฉีดฟิลเลอร์ หรือ ฉีดไขมัน แบบไหนลบริ้วรอยคุ้มกว่ากัน
รศ.พญ.รังสิมา วณิชภัคดีเดชา ประชาสัมพันธ์สมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย กล่าวถึงความแตกต่างระหว่างการ ฉีดฟิลเลอร์ และ ฉีดไขมัน ว่า ปัจจุบันมีการนำสารไฮยาลูรอนิค แอซิด (ฟิลเลอร์) หรือสารเติมเต็ม มาใช้รักษาริ้วรอยความเสื่อมของร่างกาย โดยเฉพาะบริเวณใบหน้า
และยังมีการนำไขมันของร่างกายของตนเองมาฉีดบริเวณใบหน้า เพื่อลบริ้วรอยให้ดูอ่อนเยาว์ ทั้งนี้ ความจริง “ไขมัน” ถือเป็นสารเติมเต็มชนิดหนึ่ง ที่สามารถฉีดในตำแหน่งที่ฟิลเลอร์ฉีดได้ โดยที่ไขมันส่วนใหญ่จะถือว่าเป็นฟิลเลอร์ชนิดกึ่งถาวร
ข้อดีของการฉีดไขมัน คือ ไขมันเป็นสารจากร่างกายของคนไข้เอง มักจะไม่ค่อยมีปฏิกิริยาใดๆ กับคนไข้ และไม่มีการต่อต้านใดๆ กับร่างกาย อีกทั้งยังสามารถฉีดได้ในปริมาณมากเกินกว่า 10 มิลลิลิตรต่อครั้ง
รศ.พญ.รังสิมา กล่าวว่า ข้อเสียของการฉีดไขมัน คือ จะต้องมีแผลในตำแหน่งที่มีการดูดไขมันมาเพื่อฉีด โดยไขมันที่นำมาฉีดมักจะดูดไขมันจากบริเวณหน้าท้องหรือต้นขา เนื่องจากเป็นบริเวณที่มีไขมันอยู่มาก และดูแลแผลค่อนข้างง่าย
ภายหลังการฉีดไขมันจะมีอาการบวมอยู่นานกว่าการฉีดฟิลเลอร์ เนื่องจากต้องใช้ปริมาณไขมันมากกว่าในการฉีด และพอเวลาผ่านไปเรื่อยๆ ไขมันส่วนที่ไม่ติดก็จะสลายไปตามธรรมชาติและส่วนที่เหลือก็จะอยู่กับร่างกายเราเหมือนเดิม
รศ.พญ.รังสิมา กล่าวว่า ส่วนฟิลเลอร์ที่นิยมเลือกใช้มีหลายแบบ คือ 1.ฟิลเลอร์ที่มีผลระยะสั้นๆ ส่วนใหญ่จะมีอายุไม่เกิน 6 เดือน 2.ฟิลเลอร์ที่มีอายุการใช้งานกลางๆ ประมาณ 6 เดือน ถึง 2 ปี และ 3.ฟิลเลอร์ที่อยู่แบบถาวร จะเป็นพวกพาราฟิน ซิลิโคนเหลว
แต่จะต้องเข้าใจก่อนว่า ฟิลเลอร์ที่อยู่แบบถาวร ยังไม่ได้รับการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ดังนั้น เมื่อฉีดฟิลเลอร์แบบถาวร หากเกิดผลข้างเคียงก็จะเกิดผลข้างเคียงกับร่างกายแบบถาวรเช่นกัน เช่น มีอาการเริ่มบวมแดง อักเสบ ไม่นานก็จะเป็นเหมือนไหลย้อย คางย้อย จมูกย้อย ทำให้ผิดรูปต้องไปแก้ไขแก้ปัญหาต่อไป
รศ.พญ.รังสิมา กล่าวว่า หลักการในการเลือกว่าจะฉีดฟิลเลอร์หรือฉีดไขมัน คือ คนไข้ที่ต้องการใช้สารเติมเต็มในปริมาณน้อยๆ การฉีดฟิลเลอร์อาจจะคุ้มกว่าและสะดวกกว่า แต่หากเป็นการใช้ไขมัน จะต้องมีกระบวนการเพิ่มขึ้น คือ จะต้องมีการมาดูดไขมันออกมาก่อน
คนไข้ก็จะมีแผล 2 จุด คือ จุดที่เอาไขมันออก และจุดที่เราฉีดเข้าไป แต่ข้อดีของการฉีดไขมัน คือ คนไข้อาจจะต้องการเอาไขมันส่วนเกินตรงบริเวณนั้นออกพอดี และนำมาเสริมส่วนที่ต้องการฉีดอีกจุดหนึ่งแทนได้
ดังนั้น ถ้าจะคุ้มกับการฉีดไขมัน คนไข้จะต้องการปริมาณฟิลเลอร์เกิน 10 ซีซีขึ้นไป ถึงจะคุ้มกับการฉีดไขมัน ดังนั้นการดูดไขมันออกมาใช้อาจจะคุ้มค่ากว่า
สิ่งสำคัญ คือผู้บริโภคต้องเข้าใจก่อนว่าฟิลเลอร์ ที่ได้รับการรับรองจาก อย.ในปัจจุบัน คือ สารไฮยาลูรอนิค แอซิด เพียงชนิดเดียว แต่หากมีข้อเสนอให้มีการฉีดคอลลาเจน ฉีดซิลิโคนหรือสารเติมเต็มชนิดอื่นๆ ที่ไม่ใช่สารไฮยาลูรอนิค แอซิด ถือว่าไม่ควรจะทำ เพราะว่าไม่ปลอดภัย
“ส่วนการฉีดไขมัน ถ้าคนไข้ต้องการฉีดฟิลเลอร์หรือสารเติมเต็มในปริมาณมากๆ หรือไม่กังวลเกี่ยวกับอาการบวมและการดูแลพักรักษาตัวก่อน ในช่วงหลังจากทำการใช้สารเติมเต็ม ที่มาจากตัวเอง ก็เป็นทางเลือกอีกทางหนึ่ง” รศ.พญ.รังสิมา กล่าว