ผวาก่อการร้าย “ไอเอส” โผล่จังหวัดชายแดนใต้ “บิ๊กตู่” สั่งตรวจสอบด่วน หลังมาเลเซียจับกุมได้ 6 คน เร่งประสานสอบถามข้อมูล แต่ยืนยันเหตุการณ์ “ไฟใต้” ไม่เกี่ยวข้องกับกลุ่มก่อการร้ายข้ามชาติ ขณะที่หน่วยความมั่นคงแจ้งเตือนกลุ่มก่อความไม่สงบลักลอบนำวัตถุระเบิดเข้าพื้นที่ คาดอาจก่อเหตุรุนแรงครั้งใหญ่เดือนรอมฎอน ช่วงวันที่ 11-22 พ.ค.นี้ สั่งวางมาตร การป้องกัน-รับมือ

เมื่อเวลา 08.30 น. วันที่ 3 พ.ค. ร.อ.จรรษณะ อุยยะพัฒน์ ผบ.ร้อยปืนเล็กที่ 2 ฉก.นราธิวาส 32 พร้อมด้วย ร.ต.อ.วิโรจน์ บุญแข รอง สว. (สอบสวน) สภ.บาเจาะ จ.นราธิวาส และร.ต.ท. พลวัฒน์ เทพษร รองหัวหน้าชุดเก็บกู้และทำลายวัตถุระเบิด นปพ.นราธิวาส จ.นราธิวาส นำกำลังเข้าตรวจสอบบริเวณริมถนนทางแยกเข้าโรงเรียนบ้านบือเจาะ หมู่ 5 ต.บาเจาะ อ.บาเจาะ หลังเกิดเหตุระเบิดเมื่อกลางดึกวันที่ 2 พ.ค.ที่ผ่านมา พบเศษชิ้นส่วนวัตถุระเบิดแสวงเครื่องประกอบไว้ในท่อเหล็ก น้ำหนักประมาณ 5-7 ก.ก. คาดจุดชนวนด้วยการตั้งเวลาจากโทรศัพท์มือถือ กระจายเกลื่อนในรัศมี 20 เมตร แต่ไม่มีผู้ได้รับอันตรายจากสะเก็ดระเบิด

จากการสอบสวนทราบว่าคนร้ายลักลอบนำระเบิดมาวางไว้ที่โคนต้นมะพร้าว เพื่อดักสังหารเจ้าหน้าที่ทหาร ฉก.นราธิวาส 32 และชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน ที่จะเดินทางผ่านมาในตอนเช้า เพื่อไปฝึกทบทวนการยิงปืน แต่คาดว่าอาจผิดพลาดทางเทคนิค ทำให้ระเบิดทำงานขึ้นก่อน

ขณะเดียวกัน มีรายงานข่าวจากหน่วยข่าวความมั่นคงชายแดนภาคใต้แจ้งว่า ได้รับแจ้งจากแหล่งข่าวมีการประชุมกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบระดับปฏิบัติการวางระเบิด แล้วได้รับการสั่งการจากแกนนำให้ลักลอบขนวัตถุระเบิด ที่ประกอบเสร็จสมบูรณ์แล้ว เข้ามาในพื้นที่ อ.แว้ง และ อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส เพื่อเตรียมก่อเหตุรุนแรงครั้งใหญ่ในช่วงวันที่ 11-22 พ.ค.นี้ ตรงกับเดือนรอมฎอน เป็นช่วงที่ชาวบ้านในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ถือ ศีลอด

รายงานข่าวแจ้งว่าการก่อเหตุสร้างสถาน การณ์ นอกจากแสดงเชิงสัญลักษณ์แล้ว ยังมุ่งต่อต้านการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ โดยอาจจะลงมือพร้อมกันหลายจุด ในลักษณะของการลอบวางระเบิด ซุ่มโจมตีเจ้าหน้าที่ ถล่มฐาน ปฏิบัติการที่มีการเฝ้าระวังต่ำ รวมถึงก่อเหตุในย่านชุมชน และลอบยิงประชาชน จึงแจ้งเตือนให้หน่วยความมั่นคงในพื้นที่เพิ่มมาตร การป้องกันและรักษาความปลอดภัยในช่วงวันเวลาดังกล่าว

วันเดียวกัน ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวถึงกรณีประเทศมาเลเซียจับกุมผู้ต้องสงสัย 1 คน ที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มก่อการร้ายไอเอส และเชื่อมโยงกับจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทยว่า ฝ่ายความมั่นคงกำลังพิจารณาอยู่ ถ้าเกี่ยวข้อง จะประสานหารือต่อไป ทั้งเรื่องการขอตัว หรือสอบสวนร่วมกัน เรื่องนี้ละเอียดอ่อน ไม่อยากให้เปิดเผยมากนัก ถ้าเปิดเผยเท่ากับเปิดหน้าออกไปข้างนอก ส่งผลให้หลายๆ ส่วนเข้ามามีผลกระทบต่อประเทศไทย ยืนยันว่าไม่มีคนไทยเข้าไปเกี่ยวข้อง ไม่มีหลักฐานในเรื่องนี้ แต่ความเชื่อมโยงกับประเทศอื่นๆ เดี๋ยวค่อยว่ากัน

ส่วนพล.ท.ปิยวัฒน์ นาควานิช แม่ทัพภาคที่ 4 กล่าวถึงกรณีมาเลเซียจับกุมผู้ต้องสงสัยกลุ่มไอเอสได้ 6 คน และมี 1 คนพร้อมอาวุธหลบหนีมาประเทศไทยว่า รับทราบเรื่องแล้ว สั่งการให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงว่ามีกลุ่มไอเอส หลบหนีเข้ามาในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทยหรือไม่ ช่องทางธรรมชาติพรมแดน ไทย-มาเลเซีย มีมาก แต่ไม่อยากให้ตื่นตระหนก เพราะอาจเป็นข่าวลวงก็ได้ เหตุการณ์ความ ไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ไม่เกี่ยวข้องกับกลุ่มไอเอสแน่นอน แต่ต้องรอการตรวจสอบข้อมูลที่แน่ชัด ทางกองทัพบกประสานไปยังมาเลเซีย เพื่อสอบถามแล้ว

“ขอยืนยันว่าเหตุการณ์ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ไม่เกี่ยวข้องกับกลุ่มหัวรุนแรง หรือ ไอเอสแน่นอน ขอให้ประชาชนในพื้นที่สบายใจ ได้ พร้อมทั้งให้เจ้าหน้าที่เข้มงวดบุคคลผ่านเข้าออกตามแนวชายแดน ทั้งในส่วนของสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ที่เข้มงวดทั้งการคัดกรองคน มีเครื่องมือพิเศษมาช่วยเสริม รวมถึงช่องทางตามธรรมชาติ” แม่ทัพภาคที่ 4 กล่าว

ขณะที่พล.ต.ท.ณัฐธร เพราะสุนทร ผบช.สตม. กล่าวว่ายังไม่ได้รับรายงานว่าผู้ต้องสงสัยกลุ่มไอเอสเข้ามาประเทศไทยผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองต่างๆ หากเข้ามาพร้อมอาวุธ ไม่สามารถผ่านเข้ามาได้อยู่แล้ว แต่ส่วนตัวไม่ทราบว่าผ่านเข้ามาในช่องทางธรรมชาติหรือไม่ จึงสั่งการให้ไปพิสูจน์ว่าการข่าวดังกล่าวเป็นเรื่องจริงหรือไม่ หรืออาจเป็นการข่าวของมาเลเซีย พร้อมทั้งประสานขอข้อมูลจากมาเลเซียเพื่อหาข้อเท็จจริงแล้ว

ด้านพ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่าทราบว่าตำรวจมาเลเซียจับกุมกลุ่มก่อความไม่สงบในประเทศมาเลเซีย แต่กรณีผู้ต้องสงสัยหลบหนีเข้ามาในประเทศไทยนั้น ยังไม่ได้รับรายงาน แต่ทางตำรวจไม่ประมาท โดย พล.ต.อ. จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. สั่งการให้ตำรวจสันติบาลร่วมกับศูนย์ปฏิบัติการตำรวจจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศชต.) สืบสวนและแลกเปลี่ยนข้อมูลการข่าวอย่างใกล้ชิด เพื่อเฝ้าระวังกลุ่มก่อการร้าย แม้ไทยจะไม่ใช่ประเทศคู่ขัดแย้งก็ตาม

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน