เตือนไปจนถึง 27 พ.ค.นี้ กรมอุตุฯ ชี้ฝนเพิ่มมากขึ้น หนักบางแห่ง ตั้งแต่ภาคเหนือ กลางตะวันออก ใต้ อาจเกิดน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก อีกทั้งคลื่นลมทะเลอันดามันแรงขึ้น ขณะที่กรมชลฯ เขื่อนเจ้าพระยาเตือน 5 จังหวัดภาคกลาง อุทัยฯ ชัยนาท สิงห์บุรี อ่างทอง อยุธยา รับมือการระบายน้ำเพิ่ม ส่งผลพื้นที่ใต้เขื่อนเจ้าพระยา ริมฝั่งแม่น้ำ มีน้ำสูง 1-1.5 เมตร

เมื่อวันที่ 21 พ.ค. กรมอุตุนิยมวิทยาพยากรณ์อากาศใน 24 ชั่วโมงข้างหน้าว่า ประเทศไทยตอนบนมีฝนลดลง แต่ยังมีฝนตกหนักได้บางพื้นที่ในบริเวณภาคใต้ฝั่ง ตะวันตก และภาคตะวันออก สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันจะมีกำลังอ่อนลง โดยมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร ส่วนภาคใต้ยังคงมีฝนตกต่อเนื่องตลอดช่วง และมีฝนตกหนักบางพื้นที่ ส่วนในช่วงวันที่ 22-27 พ.ค. ประเทศไทยตอนบนมีฝนเพิ่มมากขึ้น และ มีฝนตกหนักบางแห่ง ส่วนคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันจะกำลังแรงขึ้นโดยมีคลื่นสูง 2-3 เมตร

กรมอุตุฯ ระบุว่าข้อควรระวังในช่วงวันที่ 22-27 พ.ค. ขอให้ประชาชนระวังอันตรายจากฝนตกหนัก โดยเฉพาะในพื้นที่บริเวณที่ลาดเชิงเขา และพื้นที่ลุ่ม ในบริเวณภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคใต้ ที่อาจเกิดน้ำท่วมฉับพลันน้ำป่าไหลหลากที่จะเกิดขึ้นในระยะนี้ ส่วนชาวเรือบริเวณทะเลอันดามันควรเดินเรือด้วยความระมัดระวังและเรือเล็กควรงดออกฝั่งในช่วงเวลาดังกล่าวไว้ด้วย

สำหรับลักษณะสำคัญทางอุตุนิยมวิทยา ในวันที่ 21 พ.ค. มรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่ พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ภาคใต้ และประเทศไทยมีกำลังอ่อนลง ลักษณะเช่นนี้ทำให้บริเวณประเทศไทยตอนบนมีฝนลดลง ส่วนคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันจะมีกำลังอ่อนลง สำหรับภาคใต้ยังคงมีฝนตกต่อเนื่อง ส่วนในช่วงวันที่ 22-27 พ.ค. จะมีหย่อมความกดอากาศต่ำปกคลุมบริเวณทะเลอันดามัน ในขณะที่มรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน และภาคใต้ มีกำลังแรงขึ้น ลักษณะเช่นนี้ทำให้บริเวณประเทศไทยตอนบนมีฝนเพิ่มมากขึ้น โดยมีฝนตกหนักบางพื้นที่ ส่วนคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันจะมีกำลังแรงขึ้น

ด้านนายทองเปลว กองจันทร์ รองอธิบดีฝ่ายบำรุงรักษา กรมชลประทาน กล่าวว่า ขณะนี้แม้ว่าจะมีฝนตกชุกในทุกพื้นที่ของประเทศจนทำให้เกิดน้ำท่วม ซึ่งน้ำที่ท่วมเกิดแบ่งเป็น 2 ประเภท คือน้ำท่วมในที่ราบสูงเกิดจากน้ำป่าที่ไหลหลากจากที่สูงในพื้นที่เช่น อ.ชาติตระการ จ.พิษณุโลก อ.ดอยเต่า จ.เชียงใหม่ เป็นน้ำท่วมที่ไปไวมาไว และน้ำท่วมในพื้นที่ชุมชนที่เป็นที่ลุ่ม ซึ่งมีน้ำไหลมาร่วมกันแล้วระบายลงแม่น้ำไม่ทัน ขณะนี้สถานการณ์เริ่มคลี่คลายแล้ว โดยกรม ชลประทานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าไปช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ

รองอธิบดีกรมชลประทานกล่าวว่า สำหรับสถานการณ์น้ำในเขื่อนขนาดใหญ่ทุกแห่งทั่วประเทศยังเหลือพื้นที่ความจุเฉลี่ย 50 เปอร์เซ็นต์ หรือครึ่งหนึ่งของความจุทั้งหมดที่เขื่อนจะรองรับปริมาณน้ำได้ แม้ว่าช่วงนี้จะมีฝนตกลงมาอย่างมาก เพราะเป็นช่วงต้นฤดูฝน แต่จะไม่มีผลทำให้น้ำในเขื่อนล้นออกมาจนสร้างความเสียหายให้บ้านเรือนประชาชนอย่างแน่นอน และน้ำที่ท่วมอยู่ขณะนี้เกิดจากน้ำป่าไหลหลาก และน้ำในที่ลุ่มระบายไม่ทัน

นายทองเปลวกล่าวต่อว่า ฝนที่ตกหนักถึงหนักมากในหลายพื้นที่ และยังทำให้มีปริมาณน้ำจากพื้นที่ตอนบนไหลหลากลงสู่แม่น้ำเจ้าพระยามากขึ้น ส่งผลให้ระดับน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยา บริเวณเหนือเขื่อนเจ้าพระยาเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเมื่อเช้าวันที่ 20 พ.ค. มีปริมาณน้ำไหลผ่านเขื่อนเจ้าพระยาในเกณฑ์ 476 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที คาดการณ์ว่าปริมาณน้ำจะสูงขึ้นในเกณฑ์ประมาณ 700 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที จะทำให้ระดับน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยา ตั้งแต่ด้านท้ายเขื่อนเจ้าพระยา อ.สรรพยา จ.ชัยนาท ไปจนถึง ต.บางหลวงโดด อ.บางบาล และ ต.บ้านกระทุ่ม ต.หัวเวียง อ.เสนา จ.พระนครศรีอยุธยา มีระดับน้ำเพิ่มสูงขึ้น

ขณะที่ นายสุชาติ เจริญศรี ผอ.สำนักงานชลประทานที่ 12 ชัยนาท ออกหนังสือแจ้งเตือนสถานการณ์น้ำลุ่มเจ้าพระยา ฉบับที่ 1 ไปยัง ผวจ.อุทัยธานี ชัยนาท สิงห์บุรี อ่างทอง พระนครศรีอยุธยา และ ผอ.สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย จ.ชัยนาท สืบเนื่องจากช่วงวันที่ 16-18 พ.ค.ที่ผ่านมา ประเทศไทยตอนบนมีฝนตกหนักถึงหนักมาก ทำให้มีน้ำหลากจากพื้นที่ตอนบนของลุ่มน้ำเจ้าพระยา ไหลผ่านเขื่อนเจ้าพระยาในอัตราเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง

โดยในวันที่ 21 พ.ค.นี้ ปริมาณน้ำไหลผ่านเขื่อนเจ้าพระยา 609 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที และคาดการณ์ว่าจะมีแนวโน้มสูงขึ้นอยู่ในเกณฑ์ประมาณ 700 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที จะส่งผลให้ระดับน้ำเพิ่มสูงขึ้นตั้งแต่บริเวณท้ายเขื่อนเจ้าพระยา อ.สรรพยา จ.ชัยนาท ถึง ต.บางหลวงโดด อ.บางบาล และ ต.บ้านกระทุ่ม ต.หัวเวียง อ.เสนา จ.พระนครศรีอยุธยา ประมาณ 1.00-1.50 เมตร

นายสุชาติระบุว่า สำนักงานชลประทานที่ 12 จะควบคุมปริมาณการไหลของน้ำผ่านเขื่อนเจ้าพระยาให้อยู่ในเกณฑ์ 700 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ด้วยการบริหารจัดการน้ำเข้าพื้นที่ชลประทานฝั่งตะวันตก และตะวันออกด้านเหนือเขื่อนเจ้าพระยา ตามศักยภาพที่สามารถรับน้ำเพิ่มได้ โดยมิให้มีผลกระทบต่อพื้นที่การเกษตร และขอประชาสัมพันธ์ไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง บริษัท ห้างร้านที่ประกอบกิจการในแม่น้ำเจ้าพระยา อาทิ งานก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่ง แพร้านอาหาร เป็นต้น และประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ริม 2 ฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ขอให้เฝ้าระวังติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด

ผอ.สำนักงานชลประทานที่ 12 กล่าวอีกว่าน้ำที่หลากลงมาจากภาคเหนือคาดว่าจะถึงจุดสูงสุดที่ จ.นครสวรรค์ ในช่วงบ่ายวันที่ 23 พ.ค. ประมาณ 1,450 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที สำนักงานชลประทานที่ 12 จะต้องควบคุมปริมาณน้ำเข้าพื้นที่ชลประทานทั้งฝั่งซ้ายและฝั่งขวา 6.4 ล้านไร่ โดยพิจารณานำน้ำเข้าระบบชลประทานให้มากที่สุด ประมาณ 650 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที อีกส่วนหนึ่งการใช้น้ำทั่วไป โดยสถานีสูบน้ำต่างๆ ในชุมชน ประมาณ 50 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที และไหลลงคลองธรรมชาติ 30 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที อีกส่วนหนึ่งระบายท้ายเขื่อนเจ้าพระยา 500-600 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที จะไม่มีผล กระทบด้านท้ายน้ำแต่อย่างใด

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน