มีชื่อโกตี๋ติดโผบึ้มร.พ.ด้วย เผยเจ้าตัวหลบหนีคดีอยู่ที่ลาว บิ๊กเจี๊ยบชี้เป็นกลุ่มคนที่ปลุกระดม ให้คนใช้กำลังอยู่ระหว่างขอตัวจากลาวมาดำเนินคดีในประเทศไทย ส่วนจะมีทหารแตงโมร่วมด้วยหรือไม่ต้องรอผลการสอบสวน รับมีการคุยให้เอาคดีความมั่นคงขึ้นศาลทหาร ขณะที่ “บิ๊กแป๊ะ”นั่งหัวโต๊ะ ประชุมคดี ตั้งศรีวราห์คุมคดี ดึง 201 มือสืบสวนสอบสวนร่วมงาน เผยสอบปากคำไปแล้ว 61 ปากได้ข้อมูลพอสมควร พร้อมให้รวมคดีกองสลากฯ โรงละครแห่งชาติ มาทำไปพร้อมกันด้วย ขณะที่ชุดสืบสวนเช็กวงจรปิด 17 จุดในร.พ. ไม่เห็นนาทีวางระเบิด คัดกรองผู้ต้องสงสัยได้ 20 ราย เตรียมติดตามระบุตัวบุคคล
วันที่ 25 พ.ค. ที่กองบัญชาการกองทัพบก พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผบ.ทบ. ในฐานะเลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวถึงความคืบหน้าจับกุมผู้ต้องสงสัยลอบวางระเบิดโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าว่า คดีคืบหน้าพอสมควร มีพยานหลักฐานในที่เกิดเหตุและภาพจากกล้องวงจรปิด ได้ข้อมูลพอสมควร โดยตำรวจติดตามผู้ต้องสงสัย คาดว่ามีโอกาสได้ตัวในอนาคต ส่วนคดีความเป็นหน้าที่ของตำรวจ หากรู้ตัวผู้ต้องสงสัยชัดเจนแล้วการตัดสินใจควบคุมตัวเป็นของตำรวจตัดสินใจ เพราะเป็นเจ้าของคดี และมีข้อมูลในมือ ส่วนจะสามารถตามตัวผู้ก่อเหตุวางระเบิดได้หรือไม่นั้นต้องสอบถามตำรวจ
พล.อ.เฉลิมชัยกล่าวว่า หากต้องการใช้กำลังของกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย (กกล.รส.) ตนมีความพร้อม ส่วนผู้ต้องสงสัยจะมีกี่คนยังตอบไม่ได้ ขอให้เป็นหน้าที่ตำรวจ เพราะตนทราบภาพรวมว่ามีผู้ต้องสงสัยและกำลังติดตามอยู่ ซึ่งจะดำเนินการตามขั้นตอนกฎหมาย ส่วนที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และหัวหน้า คสช.ระบุมีบุคคลภายในและนอกประเทศนั้น คิดว่านายกฯ กล่าวในภาพรวม ซึ่งที่ผ่านมามีคนกลุ่มหนึ่งหลบหนีคดีในประเทศเพื่อนบ้าน และแสดงท่าทีก้าวร้าว ปลุกระดมคนให้ใช้กำลัง ส่วนบุคคลที่จะเข้ามาปฏิบัติยังไม่แน่ใจว่าเป็นกลุ่มนี้หรือไม่ แต่เป็นคนภายในประเทศ อาจมีความเชื่อมโยงกับ กลุ่มฮาร์ดคอร์ที่เราเคยจับไปครั้งที่แล้ว
เมื่อถามว่าคนที่หลบหนีต่างประเทศและมีพฤติกรรมดังกล่าว ใช่นายวุฒิพงศ์ กชธรรมคุณ (โกตี๋) หรือไม่ พล.อ.เฉลิมชัยกล่าวว่า ใช่ เพราะที่ผ่านมามีการปลุกระดมผ่านโชเชี่ยลตลอด ซึ่งเราดำเนินการโดยอาศัยความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ แต่ตอนนี้เงียบไป ที่ผ่านมาเราประสานไปยังประเทศลาว เพื่อขอตัวและทางลาวกำลังดำเนินการให้
เมื่อถามว่าเป็นคนกลุ่มเดียวกับกลุ่มที่เผาซุ้มเฉลิมพระเกียรติหรือไม่ พล.อ.เฉลิมชัยกล่าวว่า เป็นการปลุกระดมกลุ่มคนให้ทำลายทรัพย์สินราชการ ซึ่งยังไม่ทราบว่าเชื่อมโยงกับเหตุระเบิดครั้งนี้ รวมถึงบริเวณกองสลาก และโรงละครแห่งชาติหรือไม่ ต้องแยกเป็น 2 กรณี โดยกรณีดังกล่าวได้จับกุมตัวผู้อยู่ในข่ายมาซักถามทั้งหมด 9 คน และส่งตัวให้ตำรวจแล้ว ซึ่งทั้งหมดมีคนจ้างวานแค่ 1 คนที่เป็นผู้ใหญ่ ที่เหลือเป็นเด็ก รับค่าจ้าง 200 บาท จึงไม่ใช่ขบวนการใหญ่ ไม่ได้มีอะไรเชื่อมโยงกับเหตุระเบิดทั้ง 3 แห่ง
“ขณะนี้คนที่ตำรวจกำลังติดตามอยู่เป็นเพียงผู้ต้องสงสัยของคนที่เข้าออกในโรงพยาบาล ในห้วงเวลาดังกล่าว ที่คาดว่าจะนำระเบิดไปวาง ตลอดจนนายโกตี๋ก็เป็นเพียง ผู้ต้องสงสัยในข่าย ส่วนจะมีคนมีสีเข้ามาเกี่ยวข้องหรือไม่ผมยังตอบไม่ได้ เพราะตอนนี้เป็นผู้ต้องสงสัยหมด เราสงสัยใครก็ได้ แต่จะบอกว่าเป็นคนนั้น คนนี้ เราต้องมีหลักฐานชัดเจน เพื่อมุ่งไปตัวเขา ซึ่งการนำบุคคลต้องสงสัย แล้วมาออกสื่อจะไม่เป็นผลบวกในเรื่องปรองดอง จะมีทหารแตงโมร่วมด้วยหรือไม่ผมไม่ทราบ และไม่กล้าวิเคราะห์ แต่อยากให้ยึดหลักฐานตามตำรวจว่าอะไรเป็นอะไร การเดาสุ่มไม่เกิดประโยชน์ต่อสังคม ดังนั้น ขอให้รอตำรวจแถลง ขณะนี้อยากให้ช่วยกันผ่านวิกฤตตรงนี้ให้ได้” พล.อ.เฉลิมชัยกล่าว
เมื่อถามว่าเหตุระเบิดครั้งนี้เกี่ยวข้องกับ บีอาร์เอ็นหรือไม่ เลขาธิการ คสช.กล่าวว่า เป็นมุมวิเคราะห์ ของตำรวจออกมาให้ข้อมูลการประกอบระเบิด ว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญในภาคใต้ อาจจะมีความเป็นไปได้กับการประกอบระเบิด ส่วนกรณีบุคคลที่มีชื่อในจดหมายข่มขู่ปฏิเสธไปแล้วว่าไม่เกี่ยวข้อง
เมื่อถามว่าจะออกคำสั่ง คสช.ให้นำคดีความมั่นคงกลับไปขึ้นศาลทหารหรือไม่ พล.อ.เฉลิมชัยกล่าวว่า ก่อนหน้านี้เคยมีคำสั่ง คสช.ฉบับที่ 50/2557 บังคับใช้อยู่ แต่มีคำสั่งยกเลิกไป ซึ่งกรณีนี้เป็นการพูดคุยในระดับผู้ปฏิบัติว่าเหตุการณ์รุนแรงลักษณะนี้เป็นการมุ่งทำลายเอาชีวิตประชาชนจำนวนมาก จะนำคำสั่งดังกล่าวมาใช้หรือไม่ ซึ่งตนย้ำว่าเป็นเพียงการพูดคุย ยังไม่มีนโยบายหรือคำสั่งใดๆ ออกมา เฉพาะคดีอาวุธ กระสุน วัตถุระเบิดที่ใช้ในสงคราม
พล.อ.เฉลิมชัยยังได้กล่าวปฏิเสธว่าเหตุระเบิดครั้งนี้ไม่เกี่ยวข้องกับพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหมแต่อย่างใด หากคนจะก่อกวนก็ทำได้ตลอดเวลา ทุกโอกาส อย่าไปมองเรื่องตัวบุคคล และการที่พล.อ.ประวิตรกลับมาทำงานหลังจากลาป่วยนั้น ตนคิดว่าสามารถส่งผลด้านจิตใจของผู้ปฏิบัติงาน ซึ่งท่านดูแลสุขภาพช่วงเวลาสั้นๆ เท่านั้น ทราบว่าปัจจุบันท่านกลับมาทำงานแล้ว
เมื่อเวลา 13.30 น. ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) เป็นประธานประชุมติดตามความคืบหน้าเหตุระเบิดร.พ.พระมงกุฎ เกล้า โดยมี พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รอง ผบ.ตร.ด้านความมั่นคง พล.ต.อ.สุชาติ ธีระสวัสดิ์ ที่ปรึกษา (สบ 10) พล.ต.ท.ชัยวัฒน์ เกตุวรชัย ผู้ช่วย ผบ.ตร.ผู้บัญชาการตำรวจ นครบาล ผบช.ภ.1-9 ผบช.ศชต. ผบช.ก.ผบช.ส. แพทย์ใหญ่ร.พ.ตร. ชุดสืบสวนสอบสวนคดี รวมกว่า 200 นาย ร่วมประชุม โดยใช้เวลาประชุมประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง
ภายหลังการประชุม พล.ต.อ.จักรทิพย์เปิดเผยว่า คณะทำงานสอบปากคำพยานไป 61 ปากแล้ว เหลือที่ต้องสอบอีกประมาณ 10-20 ปาก ซึ่งจะสอบให้เสร็จภายในวันนี้ ในจำนวนนี้มีพยาน 5-6 ปากที่ให้การเป็นประโยชน์ เชื่อว่ายังมีพยานที่น่าจะให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์อีก
พล.ต.อ.จักรทิพย์กล่าวว่า การก่อเหตุผ่านมา 3 วัน ตำรวจกำลังรวบรวมพยานหลักฐาน ต่อจิ๊กซอว์ ดำเนินการทุกมิติ ทั้งเรื่องการสืบสวน สอบสวนควบคู่กันไป คดีมีความคืบหน้าไปพอสมควร เชื่อว่าคนร้ายน่าจะมาก่อเหตุไม่ต่ำกว่า 1 คน ขณะนี้กำลังจำลองเหตุการณ์ว่าคนร้ายเดินทางเข้ามาทางไหน เดินทางออกไปทางไหน มาด้วยรถอะไร ดูสถานที่ก่อนจะลงมือก่อเหตุก่อนหรือไม่ หรือมาก่อเหตุเลยก็ได้ เพราะพื้นที่บริเวณดังกล่าวเป็นพื้นที่เปิด ประชาชนสามารถเดินทางเข้าออกได้ตลอด 24 ชั่วโมง ส่วนคนร้ายจะมีการแบ่งงานกันทำ มีการชี้เป้าก่อนลงมือก่อเหตุด้วยหรือไม่นั้น ถ้าจับได้จะถามให้ อย่างไรก็ตามในแนวทางการสืบสวนเชื่อว่าคนร้ายยังอาศัยอยู่ภายในประเทศ และก็เชื่อว่าจะจับกุมได้ ส่วนจดหมายเตือนก่อเหตุอยู่ระหว่างตรวจสอบ และสั่งการให้เอา 3 คดี ทั้งหน้ากองสลาก โรงละครแห่งชาติ ร.พ.พระมงกุฎฯ มารวมกัน
เมื่อถามว่าพบความเชื่อมโยงระหว่างคนที่ส่งจดหมายกับมือวางระเบิดหรือยัง พล.ต.อ. จักรทิพย์ กล่าวว่า อยู่ระหว่างดำเนินการ ส่วนนี้อยู่ในฐานข้อมูลอยู่แล้ว แต่ต้องใช้เวลาในการวิเคราะห์ เพื่อให้ตกผลึก เป็นเรื่องละเอียดอ่อน ซึ่งเจ้าหน้าที่พยายามทำเต็มที่อยู่แล้ว โดยเฉพาะความเชื่อมโยงกับกลุ่มต่างๆ ในส่วนของจดหมายที่ส่งไปยังโรงพยาบาล 3 แห่งนั้น ตรวจสอบชื่อที่ปรากฏในจดหมาย ไม่มีตัวตนจริง ไม่อยู่ในสารบบของทะเบียนราษฎร ชื่อปลอมทั้งหมดพิสูจน์ทราบทุกรายแล้ว
ส่วนที่เชิญนายอาแว ยูโซ๊ะ มาสอบ ก็พบว่าไม่มีความเกี่ยวข้อง จดหมายยังไม่เจอตัวตนของคนที่เกี่ยวข้อง ส่วนที่ผู้สื่อข่าวชอบถามว่าเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ภาคใต้หรือไม่ คดีนี้ยังไม่ยืนยันว่าเกี่ยวข้อง แต่ในอดีตก็มีหลายคดีที่กลุ่มคนในพื้นที่ชายแดนภาคใต้มาเรียนเป็นนักศึกษา ที่ม.รามคำแหงแล้วก่อเหตุ แต่ครั้งนี้ไม่ได้บอกว่าเป็นกลุ่มนี้ ส่วนจะเกี่ยวข้องกับกลุ่มการเมืองหรือไม่นั้น ก็อาจจะมีบ้าง พวกนิยมความรุนแรง ซึ่งตนได้พูดไปก่อนหน้านั้นแล้ว นอกจากนี้ยังมองถึงประเด็นที่มีการจ้างทำ อุดมการณ์ ที่เป็นไปได้ทั้งนั้น แต่คงไม่ใช่ประเด็นมาปาระเบิดเพราะค่ารักษาแพงแน่ๆ
เมื่อถามว่าเป็นไปได้หรือไม่ ที่กลุ่มฮาร์ดคอร์นิยมความรุนแรงทางการเมืองว่าจ้างกลุ่มที่ก่อเหตุในพื้นที่ภาคใต้มาก่อเหตุ พล.ต.อ. จักรทิพย์กล่าวว่า เป็นไปได้ มองไว้ด้วยทุกประเด็น ไม่ตัดอะไร ประเด็นที่นายกรัฐมนตรีระบุว่าเป็นการว่าจ้าง ก็ไม่ตัด ทุกประเด็นถูกวางบนโต๊ะสืบสวนสอบสวน
สำหรับผู้ต้องสงสัยขณะนี้ยังไม่มีการควบคุมตัว ส่วนวันนี้ที่มีการเชิญตัวแทนโรงพยาบาลตำรวจ และในส่วนของกทม.นั้น มาปรึกษาหารือในสองเรื่อง คือมาตรการรักษาความปลอดภัยภายในโรงพยาบาล การรักษาความปลอดภัยในพื้นที่ของตัวเอง ส่วนที่ 2 คือการทำกิจกรรม เช่น การให้กำลังใจซึ่งกันและกัน โดยที่ประชุมเสนอให้ร.พ.ตร.ส่งเจ้าหน้าที่ไปฝึกอบรม เรื่องการรักษาความปลอดภัยในโรงพยาบาล อาทิ การคัดแยกบุคคล การปรับมุมกล้องวงจรปิด ให้แก่โรงพยาบาลต่างๆ ในกทม.
เมื่อถามว่าการระเบิดในประเทศเชื่อมโยงกับเหตุการณ์ระเบิดในต่างประเทศหรือไม่ พล.ต.อ.จักรทิพย์กล่าวว่า ทางเจ้าหน้าที่วิเคราะห์เพื่อป้องกันดูแล้ว แต่เบื้องต้นยังไม่มีแนวโน้มว่ามีความเกี่ยวข้องกัน ถ้าเป็นแบบนั้นคงมีคนออกมายอมรับแล้ว ในต่างประเทศถ้าเขาทำเขาจะออกมายอมรับและประกาศให้ทราบอยู่แล้วว่าเป็นฝีมือของเขา
เมื่อถามว่าทางกองทัพออกมาระบุว่าคนร้ายมี 3-4 กลุ่มสอดคล้องกับข้อมูลของเจ้าหน้าที่ตำรวจหรือไม่นั้น พล.ต.อ.จักรทิพย์กล่าวว่า คงเป็นในส่วนของการข่าวของทางกองทัพ สำหรับการสเกตช์ภาพบุคคลต้องสงสัยขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการ ไม่ขอเปิดเผยรายละเอียด ตนยังไม่เห็น
เมื่อถามว่าเหตุระเบิดที่ร.พ.พระมงกุฎฯ มีคนร้ายไม่ต่ำกว่า 5 คนใช่หรือไม่ พล.ต.อ. จักรทิพย์ กล่าวว่า พวกนี้เป็นขบวนการอยู่แล้ว
วันเดียวกัน พล.ต.อ.จักรทิพย์มีคำสั่งที่ 236/2560 ลงวันที่ 24 พ.ค. เรื่องแต่งตั้งพนักงานสืบสวนสอบสวน โดยให้ 1.ให้พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผบ.ตร. เป็นหัวหน้าพนักงานสืบสวนสอบสวน 2.ให้จัดโครงสร้างและคณะพนักงานสืบสวนสอบสวนอำนาจหน้าที่โดยให้พนักงานสืบสวนสอบสวนรับผิดชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาร่วมกัน ทำการสืบสวนรวบรวมพยานหลักฐานต่างๆ เพื่อที่จะทราบข้อเท็จจริงหรือพิสูจน์ความผิดของกลุ่มบุคคลหรือเครือข่ายให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว หากการสืบสวนพบว่าผู้อื่นร่วมการกระทำความผิดหรือมีการกระทำความผิดอื่นที่เกี่ยวเนื่องกันก็ให้มีอำนาจสอบสวนดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดนั้นๆ แล้วรายงานให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติทราบ หนึ่งการสอบสวนให้พนักงานสืบสวนสอบสวนพึงระมัดระวังอำนาจการสอบสวนโดยจะต้องให้มีพนักงานสอบสวนผู้มีอำนาจสั่งสอบสวนร่วมในการสอบสวนทุกครั้ง ทั้งนี้ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป”
รายงานข่าวแจ้งว่า คณะชุดสืบสวนสอบสวนตามคำ ตร.ที่ 236/2560 นี้ ระดมนายตำรวจที่เชี่ยวชาญด้านสืบสวน ด้านสอบสวน ด้านการข่าว ด้านอำนวยการ ทั่วประเทศ รวม 201 นาย เพื่อเร่งสืบสวนจับกุมกระทำความผิด รวมถึงผู้ที่เกี่ยวข้องกับคดีระเบิดที่เกิดขึ้นในครั้งนี้
รายงานข่าวแจ้งว่า ชุดสืบสวนบช.น. และกองปราบปราม ได้ประชุมร่วมกัน โดยการสืบสวนยังเน้นไปที่การตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิด เพื่อติดตามหาตัวบุคคลต้องสงสัยมาสอบปากคำ ซึ่งชุดสืบสวนนำหลักฐานจากกล้องวงจรปิดของโรงพยาบาลที่ใช้งานได้ 17 ตัว ประกอบไปด้วย กล้องภายในห้องวงษ์สุวรรณ จุดที่เกิดเหตุ และบริเวณชั้นใต้ดิน ทางเข้า-ออกอาคาร และภาพจากกล้องของอาคารอื่นข้างเคียงภายในโรงพยาบาล
โดยกล้องวงจรภายในห้องวงษ์สุวรรณ มีเพียงตัวเดียวและไม่สามารถจับภาพตอนคนร้ายนำระเบิดมาวางในจุดที่เชื่อว่าเป็นจุดเกิดเหตุระเบิดได้ เนื่องจากมุมกล้องตัวดังกล่าวหันไปที่บริเวณเคาน์เตอร์จ่ายยาและจ่ายเงินเพียงมุมเดียว ไม่ได้หันไปยังมุมอื่นๆ ภายในห้อง
ผู้สื่อข่าวรายงานต่อด้วยว่า ทีมสืบสวนเน้นตรวจสอบบุคคลต้องสงสัยที่เดินทางเข้าออกอาคารในช่วงก่อนและหลังเวลาเกิดเหตุ เบื้องต้นมีรายงานว่าชุดสืบสวนของบช.น.สามารถคัดกรองบุคคลต้องสงสัยที่จะต้องติดตามตัวมาสอบสวนในฐานะผู้ต้องสงสัยประมาณ 20 คน โดยทั้งหมดยังไม่ทราบชื่อ เพียงแต่เห็นหน้าและการแต่งกายเท่านั้น ซึ่งขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างการติดตามตัวและพยายามที่จะระบุตัวตนให้ได้เร็วที่สุด
ส่วนหลักฐานของกล้องวงจรปิดที่ชุดสืบสวนได้มาจำนวน 17 ตัวนั้น มีรายงานด้วยว่า ชุดสืบสวนของตำรวจนครบาลและตำรวจกองปราบปรามได้รับอนุญาตจากทหารที่คุมพื้นที่ให้เข้าไปเก็บรวบรวมจากเซิร์ฟเวอร์ภายในโรงพยาบาลเมื่อช่วงเย็นของวันที่ 23 พ.ค.ที่ผ่านมา หลังเกิดเหตุไปแล้วกว่า 30 ชั่วโมง
