เผยชีวิต “พี่เตี้ยมช.” เสี่ยงมา 7-8 ปี พบปมช่วงหลัง มีนิสัยใหม่ ชอบแยกเขี้ยว จากกรณีการตายของเจ้าสุนัขจรชื่อดัง “เตี้ยมช.” ซึ่งอาศัยอยู่ที่ ม.เชียงใหม่ จนเป็นที่สนใจของคนในสังคมโดยเฉพาะโลกโซเชียล ต่อมา พ.ต.อ.กิตติพงษ์ เพ็ชรมุณี ผกก.สภ.ช้างเผือก เปิดเผยว่า

ล่าสุดได้รับรายงานจากศูนย์ชันสูตรโรคสัตว์ คณะสัตวแพทยศาสตร์ว่า ผลชันสูตร พี่เตี้ย มช. ออกมาแล้ว พบว่า บาดแผลของสุนัข เกิดจากการอุบัติเหตุเฉี่ยวชนจากทางด้านหลัง ค่อนไปทางขวา โดยคาดว่าเป็นรถที่มีขนาดใหญ่พุ่งชน

ล่าสุดวันที่ 8 พ.ค. พบว่ามีผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่งชื่อ Phuphing Thepchuaysuk ได้ออกมาโพสต์ระบุว่า อยากใช้โอกาสนี้เขียนถึง “พี่เตี้ยมช.” สักหน่อย ข้อเขียนนี้จะมีทั้งส่วน “ข้อเท็จจริง” และส่วน “ความเห็นส่วนตัวของผม” ผสมกัน ซึ่งท่านอ่านแล้วอาจถูกใจ ไม่ถูกใจ เห็นด้วย ไม่เห็นด้วย …อันนั้นก็แล้วแต่วิจารณญาณของท่าน

ในฐานะที่เพื่อนๆในเฟซผมหลายคนเป็นคนรักสัตว์ ซึ่งหลายคนก็ไม่ได้อยู่เชียงใหม่ และส่วนใหญ่รู้จักพี่เตี้ยแค่จากภาพน่ารักๆที่มันวิ่งขึ้นดอย เกิดเป็นภาพจำว่านี่คือ “หมาเซเล็บเชียงใหม่ที่วิ่งขึ้นดอยกับนักศึกษา” จะมีอีกส่วนน้อยที่ติดตามเพจเขา ได้เห็นภาพชีวิตประจำวันน่ารักๆของเขาต่ออีกหน่อย

กิจกรรมรับน้องขึ้นดอย มีปีละครั้ง 1 ปี มี 365 วัน… คนส่วนน้อยมากจะได้รู้ ได้เห็น และเข้าใจว่า ในอีก 364 วัน, วันละ 24 ชั่วโมง ที่เตี้ยไม่ได้วิ่งขึ้นดอยนั้น เตี้ยใช้ชีวิตอย่างไร

เตี้ยและผองเพื่อนใช้ชีวิตอิสระเสรีในมช.มาตั้งแต่ก่อนดัง พูดง่ายๆคือไม่ต่างจากสุนัขจรจัดทุกที่ในเมืองไทยที่คุณก็ต้องเคยเห็นนั่นแหละ คือจะไปเดิน นั่ง นอน ขี้ เยี่ยว หาอาหารกินด้วยการคุ้ยเขี่ยหรือเดินตามคนในมอที่ถือหรือนั่งกินอาหารอยู่ด้วยสายตาละห้อย ตรงไหน เมื่อไหร่ มันก็ทำ ไม่ว่าจะเป็นตึกเรียน โรงอาหาร ลานจอดรถ ฟุตปาธ ข้างถนน และแน่นอน… กลางถนนด้วย

มันอยู่รอดด้วยความเมตตาที่คนรักสัตว์ผ่านมาหยิบยื่นให้ วันๆก็เดินหลบรถเอาเอง ส่วนอีกด้านคือรถราทั้งสี่ล้อสองล้อที่สัญจรผ่านไปมาแถวๆที่มันอยู่ ก็ต้องหลบมันเอาเอง ช่วงที่มันมีชื่อเสียง จึงเริ่มมีการจัดการสุนัขในมหาลัยที่ดีขึ้นมาบ้าง เงินบริจาคและซื้อสินค้าที่มีรูปพี่เตี้ย ทำให้หมาๆตัวอื่นในมอมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น เป็นต้นแบบให้มหาลัยอื่นๆในประเทศเริ่มทำตาม นี่คือเรื่องที่ดี

แต่เตี้ยกับเพื่อนๆก็ยังใช้ชีวิตส่วนใหญ่ข้างถนนในมอต่อไป จนถึงวันสุดท้ายของชีวิตมัน ผมเคยเอาหมาตัวเองไปเดินเล่นในมอ ก็เจอเตี้ยกับเพื่อนๆโผล่มาเห่าไล่ในหลายๆจุด (ก็ไม่ได้โกรธอะไร เข้าใจที่มาที่ไป) สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าหมาที่ปล่อยฟรีแบบนี้ มันจะเข้าใจว่าทุกที่ที่มันสามารถเดินไปถึง คืออาณาเขตของมัน

ช่วงหลังๆเตี้ยมีนิสัยใหม่ คือขอขึ้นรถมอเตอร์ไซค์ไปเที่ยว ซึ่งบางคนเต็มใจทำ บางคนไม่ได้อยากจะทำ แต่หมามันไม่รู้เรื่อง บางครั้งมันไปเดินขวาง เห่าเรียก วิ่งไล่รถที่มันอยากให้หยุด แยกเขี้ยวขู่เมื่อมันยังไม่อยากลง

ถ้าพฤติกรรมของเด็กเล็กสะท้อนการเลี้ยงดูของพ่อแม่ยังไง พฤติกรรมสัตว์ก็สะท้อนการเลี้ยงดูของเจ้าของเช่นกัน แต่นี่บังเอิญเป็นหมาที่เลี้ยงโดยชุมชนคนหมู่มาก… มากเกินไป มากจนควบคุมไม่ได้ ทั้งฝ่ายคนที่ช่วยกันเลี้ยงคนละนิดละหน่อย และฝ่ายหมาที่ไม่สามารถเข้าใจได้ว่าอะไรคือความชัดเจนในชีวิตมัน ฉันควรอยู่ตรงไหน ฉันสามารถไปได้ถึงแค่ไหน ในบรรดาคนแปลกหน้าที่ฉันเจอวันละเป็นร้อยๆคนนี้ ฉันสามารถขอและรับของกินจากใคร ขอขึ้นรถใครได้บ้าง

แฟนคลับในเชียงใหม่ มาเล่นกับมัน ให้ขนม พามันนั่งรถเที่ยว ถ่ายรูปเซลฟี่ แล้วจากไป แฟนคลับทางไกล ดูรูปน่ารักๆ อุดหนุนซื้อสินค้า แล้ววางมือถือไปใช้ชีวิตต่อ ผมมองว่านี่คือการ “ร่วมสุข” อย่างเดียว แต่หลายคนที่ไม่ใช่แฟนคลับ อาจจะรู้จักมันแต่เฉยๆกับหมา หรือไม่รู้จักมันด้วยซ้ำ หรือแย่ไปใหญ่คือเป็นคนกลัวสุนัข เคยมีประสบการณ์เลวร้ายกับสุนัขมาก่อน

แต่ต้องมาสัญจรหรือเดินทางผ่านจุดที่มันอยู่พอดี เพราะเป็นทางผ่านไปทำงาน ไปเรียน ของพวกเขา คนกลุ่มนี้ต้องมาเจอผลกระทบจากพฤติกรรมด้านลบของมันด้วย ซึ่งเขาก็อาจไม่ว่าง ไม่สามารถเข้าถึง และไม่สนใจจะมารับข้อมูลว่าควรทำอย่างไรกับสุนัขพวกนี้ แต่เขาเป็นฝ่ายที่ต้อง “ร่วมทุกข์” เฉยเลย ก็อยากให้ลองอ่านคอมเม้นท์เหล่านี้ดู เพิ่งผ่านไปราวๆสัปดาห์เดียวก่อนมันตาย

สิ่งที่ผมพยายามจะสื่อคือ เตี้ยแม้จะดังและมีคนรักแค่ไหน แต่มันมีไลฟ์สไตล์ที่เสี่ยง เสี่ยงมานานแล้ว ชีวิต 7-8 ปีที่ผ่านมาของมัน (คิดกลมๆ 3,000 วัน) มันอาจจะไปโดนรถชนหรือทำให้รถคันไหนต้องหักหลบแล้วเกิดอุบัติเหตุได้ทุกวัน หลังๆยิ่งเพิ่มสิ่งเร้าที่เสี่ยงจะทำให้เกิดอันตรายกับตัวมันเองและมนุษย์มากขึ้น

สัปดาห์ก่อนเพิ่งจะมีการตัดสินใจปรับพฤติกรรมโดยการขอความร่วมมือไม่รับมันขึ้นมอไซค์อีกต่อไป และหัดใส่สายจูงพาเดินเล่นเป็นเวลา ซึ่งผมมองว่า “เริ่มช้าไป” (แต่ก็ดีกว่าไม่ทำ) และมันยากที่จะประชาสัมพันธ์ให้ทุกคนที่ผ่านถิ่นมันหรือพบมันรู้ว่านี่คือสิ่งที่ควรทำ

การที่หมาเข้าใจ(ไปเอง)ว่าทุกคนไว้ใจได้ เข้าหาได้ …วันนี้ก็ได้เห็นแล้วว่าเสี่ยงยังไง ที่มันไปเสียชีวิตนอกเขตมอ ก็แน่นอนว่าต้องออกไปกับคนใดคนหนึ่ง ซึ่งกำลังสืบอยู่ ยังไม่รู้ว่าบุคคลนั้นประสงค์ร้ายตั้งแต่แรก หรือไม่ได้คิดร้ายแต่ตั้งใจพามันไปเที่ยวแล้วมันลงแถวนั้นเองหรือทำพฤติกรรมไม่ดีจนต้องปล่อยลง แล้วสุดท้ายไปโดนรถชนตาย …ถ้าคิดย้อนไปที่ต้นเหตุก็คือการที่มันยอมขึ้นรถไปด้วยนี่แหละ ซึ่งคงเถียงไม่ได้ว่าเป็นพฤติกรรมที่แฟนคลับปั้นให้มันติดนิสัย

เหรียญมีสองด้าน มีคนรักก็ย่อมมีคนเกลียด บุคคลระดับพระพุทธเจ้ายังมีคนไม่ชอบ แน่นอนว่าผมไม่เห็นด้วยหรอกถ้าไม่ชอบแต่ไปทำร้ายสัตว์ แต่การที่บางคนบอกว่า “ไม่ชอบก็อย่ายุ่งกับมัน อยู่ห่างๆ อย่าไปใกล้ ไปทางอื่น” มันก็ไม่ใช่มั้ง? ถ้าคุณต้องผ่านตรงนั้น เดี๋ยวนั้น เพื่อไปเรียน ไปทำงาน ไปธุระ แล้วต้องมาหยุด กลับรถ เปลี่ยนเส้นทาง เดินหลบ เพื่อเลี่ยงหมาตัวนึงที่คุณอาจไม่ได้รู้สึกรักและเอ็นดูด้วย

ถ้าใครรู้จักผมมาซักพักนึงก็จะรู้ว่าผมมีแนวคิดในการเลี้ยงสัตว์แบบ “ยิ่งรัก ยิ่งต้องไม่ปล่อย ไม่ให้คลาดสายตา” เพราะขึ้นชื่อว่า “สัตว์เลี้ยง” คนเลี้ยงควรควบคุม สั่งสอน รับผิดชอบมันให้ได้ทุกเรื่อง ทุกเวลา จะเลี้ยงสัตว์ก็ต้องทำให้มันเข้าใจอาณาเขต รู้กิจวัตร รู้ว่าเมื่อไหร่สิ่งไหนทำได้และอะไรไม่ควรทำ ที่สำคัญคือต้องวางตัวเป็นจ่าฝูงพวกมัน ไม่ใช่เลี้ยงสัตว์ให้สัตว์เข้าใจว่ามนุษย์เป็นทาสหรือลูกฝูงที่มันสามารถสั่งให้เราทำตามที่มันต้องการ และตัวมันเองจะทำอะไรเมื่อไหร่ที่ไหนก็ได้ที่ต้องการ

น่าเสียดายที่สิ่งเหล่านี้แทบไม่เกิดกับเตี้ยเลย ชีวิตเตี้ยจึงไม่มีความปลอดภัยที่มากพอจะทำให้มันได้อยู่จนแก่ตาย ทุกๆวันที่ผ่านไปของเตี้ย ในความคิดผมคือแค่ “รอดไปอีกวัน” …จนสุดท้ายมันก็โชคร้าย
ยังไงก็ขอไว้อาลัยให้กับดวงวิญญาณบริสุทธิ์ของพี่เตี้ยมา ณ ที่นี้

อ่านโพสต์ต้นฉบับ

cr. Phuphing Thepchuaysuk


ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน