สันธนะ ประยูรรัตน์ หอบหลักฐาน แจ้งความไฮโซสาว กับพวก หลังเชิดเงิน 2 ล้าน อ้างรู้จักคนใหญ่โต รมว.ดัง เอาของออกจาก ศุลกากรได้

เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 28 พ.ค. ที่สน.ปากคลองสาน นายสันธนะ ประยูรรัตน์ นำหลักฐานพานายซู่ เว่ย อายุ 38 ปี นักธุรกิจชาวจีน เดินทางเข้าแจ้งความร้องทุกข์ต่อ พ.ต.อ.มานพ สุคนธ์ธนพัฒน์ รอง ผบก.น.8 พ.ต.อ.สนธยา บัวแพง ผกก.สน.ปากคลองสาน และ พ.ต.ต.ธีรวัฒน์ เกิดจงรักษ์ รอง สว. (สอบสวน) สน.ปากคลองสาน เพื่อดำเนินคดีกับ ไฮโซสาว อายุ 28 ปี ซึ่งเป็นนักแสดงไฮโซ พร้อมพวกอีก 2 ราย

ภายหลังร่วมกันแอบอ้างรู้จักนักการเมืองระดับรัฐมนตรีชื่อดังในปัจจุบัน รวมถึงหม่อม และเจ้าหน้าที่รัฐระดับอธิบดี ว่าสามารถเคลียร์การนำเข้าสินค้าผลิตภัณฑ์เครื่องตรวจวัดอุณหภูมิในร่างกายเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคไวรัสโควิด-19 หลังถูกเจ้าหน้าที่กรมศุลกากรจากท่าอากาศยานสุวรรณภูมิตรวจยึดไป ซึ่งมีมูลค่าการดำเนินการกว่า 2.5 ล้านบาท

นายสันธนะ กล่าวว่า ในวันนี้ตนเป็นผู้รับมอบอำนาจจากนายซู่ เว่ย ซึ่งเป็นผู้เสียหาย เพื่อเข้าแจ้งความดำเนินคดีกับบุคคลที่มีชื่อเสียงคือ “ไฮโซสาว” พร้อมพวกอีก 2 ราย ในข้อหา “ร่วมกันฉ้อโกง” สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 20 มี.ค. ที่ผ่านมา นายซู่ เว่ย เล็งเห็นว่าขณะนั้นมีสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และเครื่องอุปกรณ์วัดไข้เป็นผลิตภัณ์อย่างหนึ่งซึ่งสามารถจะนำเข้ามาในเรื่องของสุขภาพที่จะนำมาตรวจดูแลประชาชนและผู้ที่มีโอกาสเสี่ยงได้ผู้เสียหายจึงซื้อผลิตภัณฑ์จากประเทศจีน

สันธนะ แจ้งความ

โดยฝากให้เพื่อนคนจีนนำสินค้าเข้ามาที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ รวม 3,500 เครื่อง มูลค่าประมาณ 3 ล้านบาท ด้วยความที่นายซู่เว่ย ไม่รู้ระบบราชการไทยจึงไม่ได้นำเอกสารประกอบเพื่อนำเข้าสินค้า ทางเจ้าหน้าที่ศุลกากรเลยอายัดของไว้ พร้อมทั้งให้นายซู่ เว่ย ไปเอาเอกสารมาแสดงนำสินค้าออกไปภายหลัง ซึ่งขณะนั้นทางราชการก็มีความอำนวยความสะดวกที่จะให้นำผลิตภัณฑ์ที่ป้องกันในเรื่องปัญหาสุขภาพมาใช้กับประชาชน

นายสันธนะ กล่าวต่อว่า เมื่อนายซู่ เว่ย ทราบว่าจะต้องเอาเอกสารไปแสดงเลยมีความกังวลเพราะลงทุนไปแล้ว และความประสงค์ก็เพื่อจะนำมาแจกจ่ายและจำหน่าย เลยตัดสินใจปรึกษากับ นาย กฤษณพล (เพื่อนคนไทย) แต่นายกฤษณพล ไม่รู้ระเบียบทางราชการก็เลยแนะนำให้รู้จักกับนายกันต์ เนื่องจากพูดภาษาจีนได้ เมื่อทั้งคู่มาพบกัน นายกันต์ จึงแนะนำว่าเรื่องนี้ต้องปรึกษากับไฮโซสาว อีกทอดหนึ่ง เพราะไฮโซสาว เป็นคนมีชื่อเสียงรู้จักเจ้าหน้ารัฐระดับสูง รู้จักฝ่ายการเมือง จนถึงหม่อม ที่สามารถติดต่อเอาสินค้าออกมาได้

เลยนัดหมายให้นายซู่ เว่ย ไปพบไฮโซสาวที่คอนโดหรูแห่งหนึ่งติดแม่น้ำเจ้าพระยาใกล้กับห้างไอคอนสยาม เมื่อนายซู่ เว่ย ไปพบไฮโซสาวจึงเกิดความน่าเชื่อถือเพราะดูจากสถานที่ รวมถึงการพรีเซนต์ตัวเองว่าเป็นบุคคลมีชื่อเสียง เป็นนักแสดง นักธุรกิจ และเคยโดนเสนอชื่อเป็นผู้บริหารแห่งปีอีกด้วย

นายสันธนะ กล่าวอีกว่า ทั้งนี้ระหว่างทั้งคู่เจรจากันทางไฮโซสาว เสนอข้อตกลงว่าหากจะให้ดำเนินการนำสินค้าออกจะต้องเสียค่าใช้จ่ายในราคา 2.5 ล้านบาท เนื่องจากมีหลายคนที่เข้ามาเกี่ยวข้อง จนกระทั่งในวันที่ 27 มี.ค. ที่ผ่านมา นายกันต์ ได้ติดต่อนายซู่ เว่ย ไปอีกว่า ตอนนี้ทางไฮโซสาว สามารถเคลียร์ผู้ใหญ่ที่กล่าวถึงทั้งหมดได้แล้ว พร้อมที่จะนำสินค้าออกในทันทีโดยให้นายซู่ เว่ย ไปจัดการเรื่องการโอนเงินตามที่ไฮโซสาว เรียกร้องมา

นายซู่ เว่ย จึงเดินทางไปพบไฮโซดังกล่าวที่คอนโดหรู ก่อนแนะนำให้ผู้เสียหายโอนเงินเพื่อเป็นเรื่องค่าดำเนินการให้กับผู้ใหญ่ แต่นายซู่ เว่ย มีเงินเพียง 1.5 ล้านบาท ทางไฮโซสาวก็บอกให้โอนมาก่อนโดยทำธุรกรรมทางการเงินผ่านโมบายแบงค์กิ้งโอนเข้าบัญชีของไฮโซสาวโดยตรง ซึ่งหลังจากโอนเงินไปแล้วนายซู่ เว่ย ก็ยังไม่ได้รับสินค้า และติดต่อไปหาไฮโซดังกล่าวก็ถูกบ่ายเบี่ยง

จนกระทั่งวันที่ 10 เม.ย. ได้รับคำตอบว่า สินค้าพร้อมที่จะนำออกแล้วแต่ต้องจ่ายเงินส่วนที่เหลืออีก 1 ล้านบาท แต่ผู้เสียหายมีเงินเพียง 500,000 บาท ทางไฮโซจึงให้โอนไปก่อน แต่ภายหลังจากโอนไปแล้วก็ยังไม่ได้รับสินค้าและถูกบ่ายเบี่ยงมาตลอด

“จากนั้นนายกฤษณพล ตัดสินใจพาผู้เสียหายเข้าพบกับตน ทั้งนี้เมื่อตนตรวจสอบข้อเท็จจริงและดำเนินการกับทางกรมศุลกากร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องปรากฏว่าไม่มีใครมาติดต่อหรือแม้กระทั่งมาเรียกรับผลประโยชน์เกี่ยวกับสินค้าตัวนี้เลย ก่อนตนได้มอบหมายให้บริษัทชิปปิ้งเป็นผู้ดำเนินการ จนกระทั่งวันที่ 5 พ.ค.

ทางเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบเกี่ยวข้องก็แจ้งกับตนว่าสินค้ามีการปล่อยออกมาเรียบร้อยแล้วจากคลังสินค้าท่าอากาศสุวรรณภูมิ ตนเลยมอบหมายให้คนไปนำสินค้าออกมาซึ่งเป็นเครื่องวัดอุณหภูมิทั้งหมดจำนวน 3,500 เครื่อง และมอบให้กับผู้เสียหายโดยที่ไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆทั้งสิ้น นอกจากค่าภาษีและค่าเก็บรักษาสินค้าเท่านั้น” นายสันธนะ กล่าว

นายสันธนะ เปิดเผยว่า จากนั้นนายซู่ เว่ย จึงพาตนไปทวงเงินจากไฮโซสาว ที่คอนโดหรู แต่ไฮโซบอกว่า เงิน 2 ล้าน ไม่สามารถคืนได้เพราะตนได้เอาเงินใส่ซองให้ท่านอธิบดี ศุลกากร ชื่อนายกฤษฎาไป 500,000 บาท คนที่อ้างว่าเป็นหม่อมรายหนึ่ง ไปอีก 500,000 บาท

ส่วนอีกหนึ่งล้านบาทเธอได้มอบให้กับเจ๊กานต์ ซึ่งเป็นคนของรัฐมนตรีเอาไปให้รัฐมนตรีซึ่งเป็นคนสั่งการเรื่องนี้ในวันนั้นได้มีการโทรศัพท์ติดต่อทุกคนที่กล่าวถึงโดยการเปิดสปีคเกอร์โฟนพูดกันต่อหน้าได้ยินกันทุกคน โดยไฮโซสาวเป็นคนต่อสายให้คุยกับตนซึ่งทาง คนที่อ้างว่าเป็นหม่อม บอกว่ากำลังคุยกับท่านอธิบดีกรมศุลกากร และกำลังดำเนินการ ทั้งนี้ระหว่างการสนทนากันทางหม่อม ได้ข่มขู่นายซู่ เว่ย ว่าเป็นหม่อมเชื้อพระวงศ์และมีตำรวจวังคอยอารักขาถ้าหากว่ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้จะให้ตำรวจวังเป็นคนจัดการ

นายสันธนะ เผยต่อว่า ส่วนเจ๊กานต์ ไม่ได้อยู่ในที่เกิดเหตุ จึงนัดหมายกันอีกครั้งในวันที่ 7 พ.ค. เพราะตนต้องการทราบจากตัวเจ๊กานต์ว่าผู้ใดเป็นคนนำเงิน 1 ล้านบาทไป โดยนัดเจอกันที่กระทรวงมหาดไทยซึ่งตนก็ไปแต่ปรากฏว่าเจ๊กานต์ไม่ไป และตนก็เข้าใจอยู่แล้วว่ามันเป็นเรื่องแอบอ้าง ทั้งนี้ตนให้คนเฝ้าอยู่ที่คอนโดหรูของไฮโซสาวในช่วงบ่าย

ซึ่งคนเฝ้าก็แจ้งว่าทางเจ๊กานต์มาพบไฮโซสาว ตนก็เลยตามไปเพื่อที่จะต้องการพบตัวจริงของเจ๊กานต์ เพื่อหาคนรับผิดชอบและเกี่ยวข้องอย่างไร ตนจึงได้พบตัวเจ๊กานต์ที่ห้องรับรองของคนโดซึ่งขณะนั้นไฮโซสาวอยู่ข้างบนห้องแต่พอทราบว่าพวกตนมา ทางไฮโซสาวไม่ยอมลงมาพบแล้วติดต่อไม่ได้ ไม่รับโทรศัพท์วันนั้นก็เลยต้องแยกย้ายกันกลับ

“ผมต้องการตรวจสอบความจริงในวันรุ่งขึ้นเลยให้คนสนิทกับเจ๊กานต์โทรหาเพราะว่าเบอร์ที่ตนติดต่อไม่รับสาย เมื่อรับสายก็มีการพูดคุยกันตามคลิปโดยตนได้ถอดคลิปเสียงพี่พูดกับเจ๊กานต์มาเป็นตัวอักษรไว้เป็นหลักฐานแล้วซึ่งทางเจ๊กานต์ก็พูดค่อนข้างชัดเจนว่าเกี่ยวข้องอย่างไรในเรื่องนี้ โดยเจ๊กานต์พูดเองว่าเธอทำงานอยู่สามตำแหน่งที่กระทรวงมหาดไทยและเป็นเลขาของ รัฐมนตรีช่วยเกษตร

นอกจากนั้นยังทำงานที่สภาซึ่งประเด็นที่พูดตรงนี้จะเป็นจริงเท็จอย่างไรตนไม่ทราบและบ่ายวันนี้ตนจะทำหนังสือถึงท่านประธานชวน หลีกภัย ว่ารู้จักคนนี้หรือไม่และจะทำหนังสือถึงรัฐมนตรีช่วยนิพนธ์ที่กระทรวงมหาดไทยและจะทำหนังสือถึงรัฐมนตรีธรรมนัส ว่าเกี่ยวข้องยังไงเพราะว่าเจ๊กานต์ได้ระบุเลยว่าตัวเองเป็นเลขาของรัฐมนตรี” นายสันธนะ กล่าว

ด้าน พ.ต.อ.มานพ กล่าวว่า เบื้องต้นทางเจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างการรวบรวมพยานหลักฐาน ก่อนเร่งประสานให้ทางผู้ที่ถูกกล่าวหาเข้าพบพนักงานสอบสวนเพื่อสอบปากคำเพิ่มเติม หากตรวจพบว่ามีความผิดจริงจะดำเนินคดีในข้อหา “ร่วมกันฉ้อโกง” ก่อนดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน