อดีตสิบเอกรับสารภาพฆ่าบีบคอน้องพลอย ก่อนกลับไปค่ายทหารที่ลพบุรี เอายางรถยนต์และแวะซื้อน้ำมันไปฆ่าเผาอำพรางที่แก่งคอย สระบุรี เผยปมฆ่าเกิดจากความหึงหวงที่ฝ่ายหญิงพยายามตีตัวออกห่าง ด้านแม่น้องพลอยรุดดูหน้าฆาตกร พ้อทำไมเลือดเย็น ลงมือฆ่าผู้หญิงที่อ้างว่ารักได้ลงคอ ลั่นแม้มากราบเท้าขอขมาก็ไม่อโหสิเด็ดขาด

เมื่อเวลา 13.30 น. วันที่ 16 ส.ค. ที่กองปราบปราม นางพัชรี ปั้นทอง อายุ 51 ปี มารดาของ น.ส.พลอยนรินทร์ ผลิผล หรือ “น้องพลอย” ซึ่งถูกนายพลกฤต วิเศษ หรืออดีตส.อ.พลกฤต แฟนเก่าฆ่าแล้วนำศพไปเผาอำพรางคดีในพื้นที่ อ.แก่งคอย จ.สระบุรี พร้อมด้วยนายรณรงค์ แก้วเพ็ชร ทนายความ เดินทางมายังกองปราบฯ เพื่อรอพบหน้านายพลกฤต หลังทราบเจ้าหน้าที่ทหารจะคุมตัวนายพลกฤตมาส่งมอบให้กับพนักงานสอบสวน โดยมี พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รอง ผบ.ตร.พร้อมคณะ เดินทางมารับมอบตัวนายพลกฤต โดยนางพัชรี ถือกรอบรูปบุตรสาวพร้อมผ้าพันคอผืนสีแดงเอาไว้ตลอดเวลา

นางพัชรีกล่าวว่า ผ้าพันคอผืนนี้เพราะเป็นสิ่งที่บุตรสาวทำให้กับตนก่อนจะพรากจากกัน น้องพลอยจะทำแต่สิ่งดีๆ ให้เขาทำผ้าพันคอเป็นของขวัญชิ้นสุดท้ายให้ตน แล้วก็อยากจะเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับบุตรสาว และอยากเห็นหน้าคนที่กระทำกับบุตรสาวอย่างเลือดเย็น โดยถ้าได้พบนายพลกฤตก็มีหลายสิ่งที่อยากจะพูดกับเขา คำถามแรกเลยก็คงจะถามว่าทำไมถึงเลือดเย็นนัก ฆ่าน้องพลอย ตั้งแต่วันแรกรู้อยู่แล้วแต่กลับโทรศัพท์มาหาตนถามว่าน้องพลอยอยู่ที่ไหน นายพลกฤตเป็นคนที่เลือดเย็นมากหลังจากก่อเหตุยังไปทำศัลยกรรมใบหน้า แต่จริงแล้วเขาน่าจะทำศัลยกรรมจิตใจมากกว่า

ที่ผ่านมาแม่ก็ติดต่อกับเขา โดยหลังจากเกิดเหตุ 2 วัน หลังจากน้องพลอยหายตัวไป เขาโทรศัพท์มา ขณะที่เขาติดต่อหาแม่เขายังทำงานอยู่ แต่เขาฆ่าน้องแล้ว 3 ปีกว่า วันนี้แม่พาน้องมาให้ดูคนที่บอกว่ารักนักรักหนา เรื่องที่เกิดขึ้นคงไม่สามารถอโหสิกรรมให้ได้ เป็นใครๆ ยกโทษให้ได้หรือไม่ มันกะทันหันมาก แม่จะไม่ให้เขาไปกราบขอขมาน้อง แต่ให้เป็นบาปติดตัวไปตลอดชีวิต

นางพัชรีกล่าวอีกว่า ถึงแม้ว่านายพลกฤตต้องมากราบเท้าขอขมาตน แต่ก็ไม่ให้อภัยกับสิ่งที่เขาได้กระทำลงไป ตนคิดว่าน้องพลอยก็คงต้องการแบบนั้น ที่ผ่านมานายพลกฤตให้การอย่างไรบ้างตนก็ไม่ทราบ แต่คนเลือดเย็นแบบนี้คิดได้ขนาดนี้ใครจะเชื่อคำพูดเขา คนหนึ่งคน ยาง 4 เส้น และสถานที่ซึ่งลงมือก่อเหตุ มันลำบากยากเย็นหรือไม่ เขาน่าจะทำคนเดียวได้หรือไม่

ต่อมาเวลา 15.30 น.วันเดียวกัน พล.ต. วิจารณ์ จดแตง หัวหน้าส่วนปฏิบัติการคณะทำงานด้านกฎหมาย คณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) พร้อมพ.อ.บุรินทร์ ทองประไพ เสนาธิการประจำผู้บังคับบัญชาฝ่ายกฎหมายคสช. พร้อมกำลังเจ้าหน้าที่ทหาร ควบคุมตัวนายพลกฤต หรืออดีตส.อ.พลกฤตส่งมอบให้กับทางพล.ต.อ.ศรีวราห์ พล.ต.ต.สมบัติ มิลินทจินดา รอง ผบช.ภ.1 พล.ต.ต.ชยพล ฉัตรชัยเดช ผบก.ส.4 พร้อมคณะ ก่อนเข้าสู่กระบวนการตรวจร่างกาย โดยแพทย์จาก ร.พ.ตำรวจพิมพ์ลายนิ้วมือและถ่ายรูปทำประวัติตามขั้นตอน ก่อนแจ้งข้อกล่าวหาเพื่อดำเนินคดี ที่ห้องประชุมชิวปรีชา บก.ป.

สำหรับนายพลกฤตถูกแจ้งข้อกล่าวหาตามหมายจับศาลมณฑลทหารบกจังหวัดสระบุรี ที่ จ.80/2557 ลงวันที่ 7 ก.ค.2557 ข้อหาพาผู้อื่นไปเพื่ออนาจารโดยใช้อุบายหลอกลวง ขู่เข็ญ ใช้กำลังประทุษร้าย และหมายจับศาลมณฑลทหารบกที่ 18 ที่ จ.1 ก/2560 ลงวันที่ 15 ส.ค.2560 ข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ลักทรัพย์ในเวลากลางคืนโดยใช้ยานพาหนะ ทำให้เสียทรัพย์ ลอบฝัง ซ่อนเร้น ย้ายหรือทำลายศพหรือส่วนหนึ่งส่วนใดของศพ เพื่อปิดบังการตายหรือเหตุแห่งการตาย และเคลื่อนย้ายทำลายศพหรือส่วนหนึ่งของศพ

จากนั้นพนักงานสอบสวนควบคุมตัวนายพลกฤตไปยังห้องชี้ตัวผู้ต้องหา เพื่อให้นาง พัชรี มารดาของน.ส.พลอยนรินทร์ได้ชี้ตัว โดยนายพลกฤตยืนปะปนกับตำรวจ บก.ป.อีก 5 คน รวม 6 คน และมีเลข 1-6 กำหนดไว้ ซึ่งนางพัชรีสามารถชี้ตัวนายพลกฤตได้อย่างถูกต้องทั้ง 3 ครั้ง อย่างไรก็ดี ภายหลังเสร็จสิ้นขั้นตอนดังกล่าวแล้ว จึงคุมตัวนายพลกฤตเดินทางไปยังสภ.หินซ้อน อ.แก่งคอย จ.สระบุรี รับไปสอบสวนก่อนจะทำแผนประกอบคำรับสารภาพต่อไป

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะที่เจ้าหน้าที่ควบคุมตัวนายพลกฤตเพื่อขึ้นรถตู้ตำรวจเดินทางไปยังสภ.หินซ้อน นั้นเจ้าหน้าที่ได้ให้ผู้ต้องหาสวมหมวกกันน็อกแบบเต็มใบ เพื่อปิดบังใบหน้าในระหว่างที่ต้องเดินฝ่ากลุ่มสื่อมวลชนที่มารอทำข่าวกันเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้เจ้าหน้าที่อีกส่วนหนึ่งยังกันตัวนางพัชรี เพื่อไม่ให้เข้าใกล้ตัวผู้ต้องหาด้วย

พล.ต.อ.ศรีวราห์กล่าวว่า เบื้องต้นผู้ต้องหาให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา โดยข้อหาหลัก คือ ข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน รวมทั้งหมด 4 ข้อหา โดยอ้างว่าลงมือก่อเหตุเพียงคนเดียว และไม่ได้ใช้อาวุธ แต่หากมีผู้ใดเกี่ยวข้องก็ยืนยันว่าจะดำเนินคดีทั้งหมด ส่วนสาเหตุที่ลงมือขอไม่เปิดเผยเพราะอยู่ในสำนวนการสอบสวน สำหรับกรณีที่มีการระบุว่าบิดาของผู้ต้องหาซึ่งเป็นนายทหารยศพ.อ.มีส่วนเกี่ยวข้องกับการให้ความช่วยเหลือผู้ต้องหาระหว่างหลบหนีคดีตลอด 3 ปีนั้น คงไม่มีเรื่องอิทธิพล หรือส่งผลต่อการดำเนินคดีแต่อย่างใด โดยเฉพาะในยุคคสช.คงทำไม่ได้

พล.ต.อ.ศรีวราห์กล่าวต่อว่า ขณะนี้ตนได้ซักถามคำให้การของผู้ต้องหาในเบื้องต้นเท่านั้น หลังจากนี้ทางพนักงานสอบสวนจะสอบปากคำอย่างละเอียดอีกครั้ง โดยเฉพาะในรายละเอียดประเด็นต่างๆ ส่วนสาเหตุที่เพิ่งมีการจับกุมผู้ต้องหาได้หลังจากญาติผู้เสียชีวิตแจ้งความร้องทุกข์ไว้นานถึง 3 ปีแล้วนั้น เป็นเพราะผู้ต้องหาย้ายถิ่นที่อยู่อาศัยตลอดเวลา จึงยากต่อการติดตามจับกุม อย่างไรก็ดี ในเรื่องของการสืบสวนจับกุมบางครั้งก็แล้วแต่จังหวะและโอกาสด้วย

รอง ผบ.ตร.กล่าวถึงความคืบหน้ากรณีที่นางพัชรี มารดาผู้เสียชีวิตให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับบิดาและภรรยาของผู้ต้องหารายนี้คอยให้ความช่วยเหลือมาโดยตลอด ว่าตนกำชับ ผู้ใต้บังคับบัญชาไปแล้ว ว่าหากพบว่าใคร มีส่วนเกี่ยวข้องในการให้ความช่วยเหลือ ผู้ต้องหาก็ต้องถูกพิจารณาดำเนินคดีทั้งหมด ไม่มียกเว้น ส่วนกรณีการเปิดเผยข้อมูลว่ามีการพาตัวน.ส.พลอยนรินทร์ไปยังสถานที่ราชการแห่งหนึ่งนั้น ตนยังไม่ทราบ แต่ ผู้ต้องหาอ้างว่าก่อเหตุฆ่าและเผาศพผู้เสียชีวิตภายในวันเดียว

“สาเหตุที่ผู้ต้องหายอมมอบตัวก็เพราะถูกเจ้าหน้าที่กดดัน เพราะปิดล้อมพื้นที่ไว้หมดแล้ว จะหลบหนีอย่างไรก็ต้องถูกจับกุมดำเนินคดี สำหรับปมเหตุการณ์สังหารนั้นยังไม่สามารถชี้ชัดได้คงต้องรอการสอบปากคำอย่างละเอียดอีกครั้งของพนักงานสอบสวนก่อน เพราะเพิ่งรับโอนสำนวนคดี และที่ได้ซักถามเบื้องต้นจะเป็นตามข้อหาที่ขออำนาจศาลออกหมายจับไว้เท่านั้น ซึ่งทางผู้ต้องหาก็รับสารภาพทุกข้อหา” พล.ต.อ.ศรีวราห์กล่าว

รายงานข่าวแจ้งว่า จากการสอบสวน ผู้ต้องหารับสารภาพว่าได้ก่อเหตุฆ่าน้องพลอยจริง โดยสาเหตุเกิดจากโกรธแค้นที่ถูกตีตัวออกห่าง หลังจากทราบว่านายพลกฤตผู้ต้องหามีครอบครัวอยู่แล้ว จึงขับรถยนต์ไปรับน้องพลอยที่หน้าโรงงานใน จ.พระนครศรีอยุธยา จากนั้นก็เรียกผู้เสียชีวิตขึ้นรถเพื่อมาเจรจา พร้อมทั้งนำจักรยานของผู้เสียชีวิตขึ้นรถไปด้วย ซึ่งระหว่างทางได้เกิดมีปากเสียงกันจึงลงมือบีบคอน้องพลอยแต่พลั้งมือจนทำให้น้องพลอยเสียชีวิต ก่อนจะขับรถเข้าบ้านพักของบิดาซึ่งเป็นอดีตทหารยศพ.อ.ในค่ายทหารปืนใหญ่ จ.ลพบุรี เพื่อไปเอายางรถยนต์ 4 เส้น น้ำมันเบนซิน 1 ถัง นำศพไปเผานั่งยาง บริเวณริมถนนสายแก่งคอย-แสลงพัน หมู่ 2 ต.ท่าคล้อ อ.แก่งคอย จ.สระบุรี เนื่องจากเคยมาฝึกซ้อมรบบริเวณนี้ และภายหลังเกิดเหตุก็เกรงกลัวความผิดจึงหลบหนีไปตามสถานที่ต่างๆ โดยขาดราชการเกิน 15 วัน จึงถูก ต้นสังกัดไล่ออกจากราชการ กระทั่งมาถูกจับกุมตัวในที่สุด

ต่อมาเวลา 18.25 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจคุมตัวส.อ.พลกฤตมาถึงสภ.แก่งคอย พร้อมสอบสวนโดยละเอียด ทั้งนี้หากผู้ต้องหาสมัครใจ ทำแผนฯ ก็จะคุมตัวทำแผนทั้ง 8 จุด ในเขตจ.พระนครศรีอยุธยา และสระบุรี

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน