“บิ๊กป้อม”ปัดวุ่น ทหารถือปืนกดดันม็อบ แกนนำเกษตรกรแฉ ตร.-ทหารบุกบ้านบังคับเซ็นสัญญาไม่เข้ากรุงให้กำลังใจ”ปู” เพื่อไทยห่วงฝ่ายความมั่นคงใช้อำนาจเกินเลย แนะปล่อยธรรมชาติ ศรีวราห์ยันไม่สกัดมวลชน แต่ห้ามทำผิดกฎหมาย จัด 24 กองร้อยรอรับ คาดมีกว่า 3 พันคน ทูตสหรัฐจับตาแจ้งข้อหา “ประวิตร”

บิ๊กตู่แจงลงพื้นที่เอกซเรย์ปัญหา

เมื่อวันที่ 18 ส.ค. ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นประธานประชุมคณะกรรมการบริหารราช การแผ่นดินเชิงยุทธศาสตร์ หรือมินิคาบิเนต โดยกล่าวก่อนการประชุมว่า วันนี้เห็นถึงความตั้งใจในการร่วมมือขับเคลื่อนปฏิรูปประเทศให้เดินหน้าไปโดยเร็วที่สุด ซึ่งต้องหารือถึงความต่อเนื่องในระดับนโยบายลงสู่ผู้ปฏิบัติ รวมถึงประชาชน ภาคเอกชน และหน่วยรับการบริการต่างๆ ที่ได้รับประโยชน์จากขับเคลื่อนให้ครอบคลุม และเพื่อให้สามารถตรวจสอบได้ ซึ่งจะกำชับอีกครั้งในแต่ละเรื่องต่อไป

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวระหว่างเป็นประธานในพิธีมอบรางวัลรัฐวิสาหกิจดีเด่น ประจำปี 2560 ตอนหนึ่งว่า วันนี้ได้ยินคำพูดของนายกสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศ ไทย ให้สัมภาษณ์ว่าเขาไม่มีหน้าที่ประชา สัมพันธ์งานให้รัฐบาล เขามีหน้าที่ทำประโยชน์สาธารณะ ตนไม่รู้ว่าไอ้ที่ตนทำวันนี้ทำเพื่อใครเหมือนกัน มีประโยชน์กับประเทศหรือต่อสาธารณะ ก็ยังไม่รู้เหมือนกัน และก็ไม่ได้คาดหวังจากพวกสื่ออยู่แล้ว เชิญเลยจะไปทำอะไรก็ทำ ไม่ต้องตามสัมภาษณ์ตนอีกก็ได้ ยืนยันมีเจตนาดีและเจตนาบริสุทธิ์กับทุกคน

ค่ำวันเดียวกัน พล.อ.ประยุทธ์กล่าวในรายการศาสตร์พระราชาสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน ในตอนหนึ่งว่า ถึงเวลาที่ตนและคณะรัฐมนตรีจะลงพื้นที่เพื่อเอกซเรย์ปัญหาของประชาชนที่ย่อมแตกต่างกันออกไป ตามภาค ตามจังหวัด ตามแต่ละท้องถิ่น จะได้สร้างการเชื่อมโยงให้ได้ ลดความเหลื่อมล้ำ เพราะเมื่อโครงสร้างหลักของบ้าน ของประเทศมั่นคงดีแล้ว ส่วนประกอบที่เหลือทั้งขื่อ คาน ผนังบ้านก็จะยึดเข้าด้วยกันได้อย่างแข็งแรงตามไปด้วย เช่นเดียวกับประชาธิปไตยต้องสร้างโครงสร้างให้เข้มแข็ง แข็งแรง แล้วเราจะเป็นประชาธิปไตยที่มั่นคงแข็งแรง

เผยมีกิจกรรมในพื้นที่ 3 ประการ

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวต่อว่า โดยกิจกรรมหลัก 3 ประการ สำหรับการจัดประชุมคณะรัฐมนตรี ณ ภูมิภาคต่างๆ ของประเทศ ได้แก่ 1.การลงพื้นที่ของรัฐมนตรีทุกกระทรวง ทั่วทั้งภูมิภาค เพื่อรับทราบปัญหาใหม่ที่มีลักษณะเฉพาะของพื้นที่ และติดตามความคืบหน้าการแก้ปัญหาเดิมตามมาตรการต่างๆ ที่ได้ดำเนินการไปแล้ว 2.การพบปะประชาชนในลักษณะเวทีสาธารณะ เพื่อสร้างการรับรู้ ยุทธศาสตร์และแผนพัฒนาภาค เมืองและพื้นที่เศรษฐกิจในภูมิภาค จะได้เข้าใจตรงกัน เห็นทิศทางและอนาคตร่วมกัน ซึ่งจะนำมาสู่ความร่วมมือ อันจะนำมาสู่การพัฒนาชีวิตที่ยั่งยืนให้ได้ในอนาคต

3.การประชุมคณะรัฐมนตรี ที่จะนำประเด็นปัญหาต่างๆ ที่ได้จากการลงพื้นที่และเวทีสาธารณะดังกล่าวมาหารือกันในที่ประชุม เพื่ออนุมัติ-สั่งการ ด้วยแผนการ โครงการและงบประมาณ จะได้มีความรวดเร็วในการบริหารราชการแผ่นดิน ที่ไม่ใช่การมองปัญหาจากกรุงเทพฯ วันนี้ตนก็รับฟังจากทุกที่อยู่แล้วแต่ลงไปให้เห็นด้วยตาอีกเพื่อจะได้สังเกตให้ดีขึ้น พบปะกับประชาชน พูดคุยกับบรรดาพ่อแม่พี่น้องทั้งหลาย ที่เราทำมาแล้ว 3 ปีน่าจะได้รับทราบด้วย และแผนงานอีก 2 ปี คือปี”60-62 ที่จะเร่งเติมลงไปให้อีก

ห้ามจัดต้อนรับใหญ่โต

“ช่วงวันเสาร์ที่ 19 ส.ค. ถึงวันอังคารที่ 22 ส.ค.นี้ อยากให้ประชาชนทุกคนโดยเฉพาะชาวอีสานติดตามข่าวสารการปฏิบัติหน้าที่ของครม. ตามที่ได้กล่าวไป ส่วนภูมิภาคอื่นๆ อยากให้ตื่นตัว เตรียมการและรอพบปะจับเข่าคุยกันกับคณะรัฐมนตรี ในโอกาสต่อๆ ไปด้วย ก็ขอให้หน่วยงานในพื้นที่ไม่ต้องวิตกกังวล ไม่ต้อง เตรียมการใหญ่โต หรูหรา ผมต้องการแค่พบปะกับประชาชน ข้าราชการ เพื่อรับทราบปัญหา ไม่ต้องต้อนรับใหญ่โต เสียเงินเสียทองมากมายแล้วทำให้คนเดือดร้อน เราต้องปรับรูปแบบใหม่”

ด้านพล.ท.วิชัย แชจอหอ แม่ทัพภาคที่ 2 ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีพล.อ.ประยุทธ์จะมา ประชุมครม.สัญจรที่จ.นครราชสีมา ระหว่างวันที่ 21-22 ส.ค.นี้ว่า กองทัพภาคที่ 2 ได้เตรียมกำลังทหารทำงานร่วมกับตำรวจภูธรภาค 3 และเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองของจังหวัด เพื่ออำนวยความสะดวกด้านการจราจร และรักษาความสงบเรียบร้อย พร้อมจัดกองอำนวยการรักษาความปลอดภัยสำหรับนายกฯ และรัฐมนตรีทุกคนอย่างเข้มงวด นอกจากนี้ยังจัดที่พักสำหรับพล.อ.ประยุทธ์ไว้ภายในค่าย สุรนารีด้วย ส่วนมวลชนที่อาจจะมาป่วนการประชุมครม.สัญจรนั้นไม่รู้สึกหนักใจ เพราะหน่วยข่าวกรองรายงานว่าในพื้นที่นครราชสีมา ขณะนี้เป็นไปด้วยความสงบเรียบร้อยดี เป็นห่วงแต่เรื่องความไม่สะดวกของประชาชนในพื้นที่บ้าง เนื่องจากจะมีคณะรัฐมนตรีเดินทางมาจำนวนมาก จึงอาจมีปัญหาติดขัดด้านการจราจรเล็กน้อย ขออภัยพี่น้องชาวโคราชด้วย

ป้อมปัดทหารถือปืนกดดันม็อบ

ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และรมว.กลาโหม กล่าวกรณีนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เลขาธิการนปช. เรียกร้องให้ชี้แจงกรณีมีทหารอาวุธครบมือเข้าไปในเขตชุมชน อ.ป่าซาง จ.ลำพูน เมื่อวันที่ 16 ส.ค. ที่ผ่านมา เพื่อสอดส่องบ้านเรือนและพูดคุยกับประชาชนว่า จะเดินทางไปให้กำลังใจน.ส. ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯในวันที่ 25 ส.ค. นี้หรือไม่ ว่า เรื่องนี้พล.ท.วิจักขฐ์ สิริบรรสพ แม่ทัพภาคที่ 3 ชี้แจงแล้ว เป็นพื้นที่ฝึกของทหารที่จะต้องมีอาวุธ มีปืนแต่ไม่มีกระสุน

“ยืนยันว่าไม่ได้กดดัน และทหารจะเอาปืนไปขู่ประชาชนนั้นเป็นไปไม่ได้ และไม่รู้จะทำไปทำไม ดังนั้นอย่าถามและทำให้เกิดความไม่เข้าใจทำให้ทหารเสียหาย” พล.อ.ประวิตรกล่าว

ชาวนาเผยโดนบังคับเซ็นยินยอม

ที่จ.เชียงใหม่ นายจำรัส ลุมมา ประธานสมาพันธ์เกษตรกรเชียงใหม่-ลำพูน ในฐานะแกนนำเกษตรกรผู้ปลูกข้าว เผยกรณีเซ็นหนังสือยินยอมให้ความร่วมมือเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง ไม่ให้นำมวลชนไปให้กำลังใจ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ในวันที่ 25 ส.ค. ที่จะมีการตัดสินคดีจำนำข้าว ว่า ยอมรับเซ็นหนังสือจริง เป็นการขอความร่วมมือแกมบังคับ เพราะมีตำรวจและทหาร 7-8 นาย พร้อมรถยนต์ 3 คัน บุกเข้ามาที่บ้านโดยไม่มีหมายค้น พร้อมขอให้เซ็นหนังสือยินยอม โดยให้ตนเขียนหนังสือด้วยลายมือเอง ตามคำบอกของ เจ้าหน้าที่ เพื่อให้ดูว่าสมัครใจ ไม่มีการบังคับ ส่วนตัวไม่ต้องการเซ็น แต่ไม่สามารถหยุดยั้งการกระทำดังกล่าวได้จึงต้องยอม เพื่อให้เรื่องมันจบเท่านั้น เหตุเกิดช่วงเวลา 11.00 น.วันที่ 16 ส.ค. ที่ผ่านมา

นายจำรัสกล่าวอีกว่า เมื่อวันที่ 1 ส.ค.ที่ผ่านมานั่งรถตู้ไปให้กำลังใจน.ส.ยิ่งลักษณ์ที่กรุงเทพฯ ถูกเจ้าหน้าที่ตรวจค้น และทำบันทึกประวัติ ทำให้เจ้าหน้าที่ติดตามตัวถึงที่บ้าน และขอความร่วมมือแกมบังคับดังกล่าว ซึ่งไม่ได้วิตกหรือห่วงกังวลอะไร และไม่มีผลต่อการตัดสินใจไปให้กำลังใจน.ส.ยิ่งลักษณ์ที่กรุงเทพฯในวันที่ 25 ส.ค.นี้ แต่ตอนนี้รถตู้ที่ว่าจ้างเดินทางไปกรุงเทพฯ ได้ขอยกเลิกสัญญาแล้ว เพราะถูกเจ้าหน้าที่เรียกไปรายงานตัวและถ่ายรูปทำประวัติ จึงกลัวว่าอาจถูกกลั่นแกล้งและดำเนินคดีอีก

ชี้ถึงสกัดก็ทำลายศรัทธา”ปู”ไม่ได้

“ส่วนตัวเชื่อว่าการสกัดกั้นหรือบล็อก ผู้ไปให้กำลังใจน.ส.ยิ่งลักษณ์ ไม่สามารถทำลายความรัก ผูกพัน ศรัทธาต่ออดีตนายกฯหญิงได้ เพราะชาวนาถือว่าน.ส.ยิ่งลักษณ์มีบุญคุณ ที่ทำให้ลืมตาอ้าปากได้ หากไปด้วยรถตู้ไม่ได้ยังมีอีกหลายวิธีทั้งขึ้นรถไฟ รถทัวร์ เครื่องบิน แบบต่างคนต่างไป โดยใช้ทุนทรัพย์ส่วนตัว ไม่มีการว่าจ้าง หรือมีใครสนับสนุนแต่อย่างใด”

ด.ต.พิชิต ตามูล แกนนำนปช. แดงเชียงใหม่ กล่าวว่า ส่วนตัวได้ทำบันทึกข้อตกลง หรือเอ็มโอยูกับมณฑลทหารบกที่ 33 ค่ายกาวิละไม่ชุมนุม หรือเคลื่อนไหวทางการเมืองเท่านั้น แต่ไม่ได้ทำหนังสือเซ็นยินยอมไม่ไปให้กำลังใจอดีตนายกฯ ไม่มีเจ้าหน้าที่มาขอความร่วมมือดังกล่าว ดังนั้นสามารถเดินทางไปให้กำลังใจ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ที่กรุงเทพฯได้ เพราะเป็นสิทธิส่วนบุคคล

ทหารโต้วุ่นบังคับทำสัญญา

เจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรองของทบ. ประจำภาคเหนือตอนบน เปิดเผยว่า เจ้าหน้าที่ทหารแต่ละจังหวัดในเขตภาคเหนือตอนบนได้แจ้งไปยังผู้ประกอบการรถตู้ รถบัส หรือรถอะไรก็ตามที่จะเดินทางไปให้กำลังใจ หรือไปทำภารกิจช่วงวันที่ 25 ส.ค. ขอให้แจ้งให้กับ เจ้าหน้าที่ทหารแต่ละจังหวัดนั้นๆ ไม่ได้บังคับให้เขียนหนังสือสัญญาจะไม่นำคนไปแต่อย่างใด ทหารแต่ละพื้นที่ได้แจ้งไปยังแกนนำกลุ่มคนเสื้อแดงแต่ละกลุ่มแล้ว เรื่อง การเดินทางไปไม่ได้ห้าม แต่ขอให้มาแจ้งรายละเอียด รายชื่อผู้ที่จะเดินทางไป ในจุดๆ นั้นๆ กับฝ่ายทหาร

เจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรองระบุด้วยว่า ส่วนวันที่ 16 ส.ค. ตำรวจ สภ.แม่แฝก และทหาร กกล.รส.จ.ชม. ได้ไปพบนายจำรัสที่บ้าน ซึ่งนายจำรัส แจ้งว่าจะไม่เดินทางไปให้กำลังใจอดีตนายกฯ โดยทำบันทึกข้อความไว้เป็นหลักฐาน สำหรับนายจำรัสได้เช่ารถตู้นำมวลชน 5-6 คน เดินทางไปให้กำลังใจน.ส. ยิ่งลักษณ์มาแล้วเมื่อวันที่ 31 ก.ค.-1 ส.ค.

พท.แนะควรปล่อยธรรมชาติ

นายสมคิด เชื้อคง อดีตส.ส.อุบลราชธานี พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีมีภาพให้แกนนำชาวบ้านทำสัญญาจะไม่เดินทางเข้ามาให้ กำลังใจน.ส.ยิ่งลักษณ์ว่า ทำสัญญาไปก็ไม่มีประโยชน์ การทำแบบนี้เหมือนขู่ให้กลัวเท่านั้น ไม่อยากให้ฝ่ายความมั่นคงใช้อำนาจจนเกินเลย ซึ่งในพื้นที่จ.อุบลราชธานี ยังไม่พบว่าถึงขนาดให้ทำสัญญา แต่ได้เข้ามาขอร้องและขอความร่วมมือไม่ให้มาเท่านั้น แต่ถ้าคนเขาจะมา จะไปห้ามได้อย่างไร คิดว่าคสช.ควรปล่อยทุกอย่างตามธรรมชาติดีกว่า เพราะคนก็คงไม่ได้มากมาย ทุกคนยุ่งกับการทำมาหากิน และทุกครั้งที่ผ่านมาก็ไม่มีปัญหา ที่มันมีปัญหาขึ้นมาเพราะไปสร้างข่าวกันใหญ่โตกันเอง

วัฒนาดักคอแจ้งคดีหวังปิดปาก

ที่พรรคเพื่อไทย นายวัฒนา เมืองสุข อดีตรมว.พาณิชย์ แถลงกรณีถูกพนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) แจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มว่า เรื่องนี้ทำเพื่อต้องการนำตนไปส่งศาล ตั้งข้อหาเพิ่มเติมและเอาตัวไปคุมไว้ มองได้ว่าผู้มีอำนาจกำลังใช้กฎหมายเล่นงานคนที่แสดงตัวยืนเคียงข้างน.ส.ยิ่งลักษณ์ โดยตั้งข้อหาเพิ่มในคดีที่ถูกแจ้งข้อกล่าวหาไปตั้งแต่วันที่ 20 เม.ย. แสดงให้เห็นว่าผู้มีอำนาจอยากเล่นงานใคร โดยใช้กระบวนการทางกฎหมายเมื่อไรก็ได้ อีกทั้งการส่งหมายให้ตนในวันที่ 16 ส.ค. ให้เอา คำให้การไปยื่นวันที่ 17 ส.ค. ใช้เวลาไม่ถึง 24 ชั่วโมง เสมือนไม่ต้องการฟังคำให้การ แต่ทำให้ครบขั้นตอนจะได้รีบเอาไปศาล

“การที่รัฐบาลเร่งรัดลุกลี้ลุกลนกับผม เหมือนต้องการปิดเกมก่อนวันที่ 25 ส.ค. หวังว่าหากผมไปอยู่ในคุก จะได้ไม่มีโอกาสแสดงความเห็นในการมาให้กำลังใจ น.ส. ยิ่งลักษณ์ อีกทั้งการที่ผู้มีอำนาจตื่นเต้นกับการสกัดมวล ชนทั่วประเทศ น่าสงสัยว่ารัฐบาล รู้ผลคำพิพากษาล่วงหน้า กลัวควบคุมสถานการณ์ไม่ได้หรือไม่ ทั้งนี้ ในวันที่ 21 ส.ค. เวลา 10.00 น. ตนจะเดินทางไป บก.ปอท. และขอให้สื่อติดตามว่าจะเป็นอย่างไร” นายวัฒนากล่าว

“ปู”ใช้เวลาว่างอยู่กับลูกที่บ้าน

ผู้สื่อข่าวรายงานความเคลื่อนไหวของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ก่อนจะถึงวันที่ 25 ส.ค. ซึ่งเป็นวันอ่านคำพิพากษาในคดีรับจำนำข้าว อดีตนายกฯใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่กับนายศุภเสกข์ อมรฉัตร หรือน้องไปป์ ลูกชาย ที่บ้านพักในซอยโยธินพัฒนา 3 ทั้งการออกกำลังกายและการรับประทานอาหาหารด้วยกัน ล่าสุดวันที่ 18 ส.ค. น.ส.ยิ่งลักษณ์ไปเลือกซื้อสินค้าและอาหาร ที่ตลาด อ.ต.ก.เพื่อมาทำให้ลูกชาย พร้อมแวะรับประทานอาหารกลางวัน โดยยังคงมีประชาชนมาให้กำลังใจเช่นเคย

ตร.จัด 24 กองร้อยรับกองเชียร์”ปู”

พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผบ.ตร. กล่าวหลังเรียกประชุมฝ่ายความมั่นคง ตัวแทนทุกกองบัญชาการ เพื่อเตรียมรับมือมวลชนที่จะมาให้กำลังใจน.ส.ยิ่งลักษณ์ โดยใช้เวลาประชุมนานกว่า 3 ชั่วโมงว่า ผลการประชุมมีข้อสั่งการดังนี้ ให้ติดตามสถานการณ์ด้านการข่าวทุกพื้นที่ ให้จัดทำแผนเผชิญเหตุบริเวณศาลฎีกาฯ ส่วนต่างจังหวัดให้ดูแลพื้นที่หน่วยราชการที่สำคัญ โดยยึดตามแผนกรกฎ 52 เป็นแนวทางปฏิบัติและบังคับใช้กฎหมาย 100 เปอร์เซ็นต์ ยืนยันว่าไม่มีนโยบายขัดขวางการมาให้กำลังใจ แต่ขอให้ประชาชนและกลุ่มแกนนำอย่าทำผิดกฎหมาย โดยครั้งนี้ใช้กำลังตำรวจเป็นหน่วยงานหลัก จัดกองร้อยควบคุมฝูงชน 24 กองร้อย และห้ามพกพาอาวุธเด็ดขาด ที่ประชุมได้กำชับให้รักษาความสงบเรียบร้อยในพื้นที่ศาลและบริเวณใกล้เคียง ดูแลด้านการจราจรด้วย

พล.ต.อ.ศรีวราห์กล่าวว่า ด้านการข่าวระบุว่าในวันที่ 25 ส.ค.นี้ จะมีมวลชนมาให้กำลังใจมากกว่าทุกครั้ง จากการข่าวพบว่าขยับกันทั้งประเทศ มีการระดมคน ชักชวนกันมา ปากต่อปาก ชวนกันมาจังหวัดละ 10-20 คน ทั้งประเทศมีเพียง 10 จังหวัดเท่านั้นที่ไม่ระดมคนมา ที่เหลือมากันหมด แต่บอกไม่ได้ว่าเป็นแนวร่วมกลุ่มไหน ใช่เสื้อแดงหรือไม่ แต่ยืนยันว่าไม่สกัดกั้น สั่งตำรวจทั่วประเทศไปแล้วว่าต้องไม่มีการสกัดกั้นเด็ดขาด การเดินทางมาให้กำลังใจต้องมาอย่างถูกกฎหมาย ไม่พกวัตถุอันตราย

คาดมากว่า 3 พันคน

พล.ต.อ.ศรีวราห์กล่าวว่า ทั้งนี้ทางศาลได้จัดระเบียบความปลอดภัยของพื้นที่อยู่แล้ว ทราบว่ามีการขยายพื้นที่อนุญาตให้มวลชนมาให้กำลังใจเพิ่มเติมจากครั้งก่อนๆด้วยซ้ำ แต่ให้อยู่ในพื้นที่จนศาลอ่านคำตัดสินเสร็จเท่านั้น จากนั้นต้องแยกย้ายกลับทันที หากปักหลักในพื้นที่มีความผิดตามพ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ

พล.ต.อ.ศรีวราห์กล่าวว่า แม้ศาลจะตัดสินออกมาในทิศทางใด ตำรวจก็วางมาตรการรองรับทุกทาง ทั้งนี้ ยอมรับว่าขณะนี้ปอท. พบมีกลุ่มแนวร่วม 24 รายกำลังเคลื่อนไหวในโซเชี่ยล ซึ่งกำลังเฝ้าจับตากลุ่มนี้อยู่ แต่ยังไม่พบการกระทำที่เข้าข่ายผิดกฎหมาย หรือยุยงปลุกปั่น จึงยังไม่ดำเนินคดีกับผู้ใด ที่ผ่านมาดำเนินคดีกับนายวัฒนา เมืองสุข แกนนำพรรคเพื่อไทยเพียงรายเดียวเท่านั้น

เมื่อถามว่าห่วงกังวลว่ากลุ่มฮาร์ดคอร์จะใช้วิธีรุนแรงในช่วงก่อนและหลังการตัดสินหรือไม่ พล.ต.อ.ศรีวราห์กล่าวว่า ยอมรับว่ากังวลก็เฝ้าจับตาทุกกลุ่ม

รายงานข่าวแจ้งว่า ในวันที่ 25 ส.ค.จะมีมวลชนกว่า 3,000 คนเดินทางโดยรถไฟมาลงที่สถานีรถไฟหลักสี่

อุดรฯสั่งคุยรถตู้ไม่รับจ้างขนคน

วันเดียวกันนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ผบก.ภ. จ.อุดรธานี ทำหนังสือด่วนที่สุด ถึงหน่วยงานในสังกัด แจ้งคำสั่งด่วนที่สุดจาก บช.ภ.4 ให้ติดตามความเคลื่อนไหวกลุ่มคนที่จะเดินทางไปให้กำลังใจน.ส.ยิ่งลักษณ์ในวันที่ 25 ส.ค. พร้อมกำชับให้ทุกหน่วยจัดชุดสืบสวนหา ความเคลื่อนไหวของกลุ่มมวลชนที่จะเดินทางไปให้กำลังใจน.ส.ยิ่งลักษณ์, ให้ทุกหน่วยขอความร่วมมือผู้ประกอบการขนส่งไม่ให้รับ จ้างเหมาเพื่อขนมวลชน, ให้ทุกหน่วยบูรณาการตั้งจุดตรวจร่วมกับทหารและฝ่ายปกครองในพื้นที่เพื่อตรวจสอบกลุ่มมวลชนที่จะเดินทางไปให้กำลังใจน.ส.ยิ่งลักษณ์ในลักษณะเป็นกลุ่มก้อน โดยจ้างเหมารถตู้หรือรถบัสโดยสาร ซึ่งอาจเข้าข่ายชุมนุมทางการเมือง หากตรวจพบให้ดำเนินการตามกฎหมายโดยเคร่งครัด และให้รายงานการปฏิบัติต่อบก.ภ.จ.อุดรภายในเวลา 07.00 น.ของทุกวัน ตั้งแต่ 21-26 ส.ค.

พิศิษฐ์ปัดเปิดโปงอปท.ขนม็อบ

ที่ทำเนียบรัฐบาล นายพิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน กล่าวถึงการส่งหนังสือแจ้งกระทรวงกลาโหม และกระทรวงมหาดไทยให้ตรวจสอบการใช้งบประมาณองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) กรณีนำมวลชนมาให้กำลังใจน.ส.ยิ่งลักษณ์ ว่า สตง.ทำเพื่อประโยชน์ด้านการป้องปราม เมื่อไม่นานมานี้มีปรากฏทางสื่อออนไลน์มีโครงการนำประชาชนมากราบพระบรมศพ แต่สุดท้ายก็ไปอยู่ที่หน้าศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง กำลังสืบอยู่ว่าเป็นอปท.ท้องที่ใด ช่วงเดือนส.ค.นี้ มีโครงการของอปท.ที่จะเข้ามาทำกิจกรรมในกรุงเทพฯและปริมณฑลอยู่จำนวนหนึ่ง หากหลักฐานการเบิกจ่ายไม่ตรงกับข้อเท็จจริงจะถือว่ามีความผิด และอาจถูกดำเนินคดีด้วย เราเตือนเพื่อลดความเสี่ยงจะได้ไม่ต้องมารับผิดชอบภายหลัง

เมื่อถามว่าสตง.ตรวจพบเบาะแสการเบิกจ่ายงบฯที่อาจผิดวัตถุประสงค์ใน อปท.ในพื้นที่ใดบ้าง นายพิศิษฐ์กล่าวว่า มีหลายจังหวัด แต่เมื่ออปท.ยังไม่กระทำความผิด สตง.จึงไม่มีความจำเป็นต้องไปเปิดโปง ยืนยันว่าไม่ได้ทำเพื่อการเมืองสีใด

ยันตรวจใช้งบสกัดม็อบด้วย

ผู้สื่อข่าวถามว่า นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำ นปช.ขอให้สตง.ตรวจสอบงบของกองทัพที่ใช้ในการสกัดกั้นมวลชน ผู้ว่าฯ สตง.กล่าวว่า สตง.มีบทบาทหน้าที่ตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณ ซึ่งการใช้งบประมาณเพื่อปฏิบัติหน้าที่ราชการนั้นสามารถทำได้อยู่แล้ว ไม่น่าจะเป็นประเด็นปัญหาอะไร เพราะเรื่องการตรวจสอบเราตรวจทุกหน่วยงานอยู่แล้ว ส่วนกรณีพล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะรักษาราชการอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ ขอความร่วมมือสื่อมวลชนติดตามทำข่าวและสกู๊ปรัฐมนตรีลงพื้นที่ประชุมครม.สัญจรนั้น ถ้าเป็นการขอความร่วมมือแบบฟรีๆ ไม่เป็นไร แต่ถ้ามีค่าใช้จ่ายกรณีรัฐไปจ้างเอกชนให้ทำ ต้องแจ้งให้สตง.ทราบค่าใช้จ่าย ซึ่งเป็นไปตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 35 เมื่อนั้นสตง.จะเข้าไปตรวจสอบความเหมาะสม การจะจ่ายเงินหรือไม่นั้นต้องจ่ายอย่างตรงไปตรงมา ไม่ใช่ถูกใจสื่อไหนก็บวกให้กับสื่อนั้น

เมื่อถามถึงกรณีตั้งบริษัทขึ้นมารับงานจากกรมประชาฯ แล้วไปจ้างช่วงเอกชนรายอื่นอีกทอดมีความผิดหรือไม่ นายพิศิษฐ์กล่าวว่า อย่างนี้เรียกว่ารับช่วงงาน แบบนี้คงไม่ตรงไปตรงมา ถ้าตรวจเจอถือว่าไม่ตรงกับหลักฐานข้อเท็จจริง

นายพิศิษฐ์ยังกล่าวกรณีพรรคการเมืองเรียกร้องให้สตง.ตรวจสอบคุณสมบัติของ ผู้เสนอซื้อข้าวอุตสาหกรรมที่ไม่ใช่การบริโภคของคน เพราะอาจมีบางบริษัทที่มีคุณสมบัติไม่ครบถ้วน ว่า อยู่ระหว่างการตรวจสอบเพื่อพิสูจน์ข้อเท็จจริงว่าเป็นไปตามข้อร้องเรียน ยืนยันว่าเมื่อมีการร้องเรียน สตง.ต้องตรวจสอบอยู่แล้ว

คสช.แจงวุ่นให้สื่อตีปี๊บรมต.

ที่จ.บุรีรัมย์ พ.อ.จะเด็ด นวลมณี ผอ. กอ.รมน.จังหวัดบุรีรัมย์ กล่าวถึงการเชิญสื่อหนังสือพิมพ์ โทรทัศน์และสถานีวิทยุกระจายเสียงในจังหวัดกว่า 80 แห่ง เข้าร่วมหารือการทำงานให้สอดคล้องกันระหว่างสื่อกับหน่วยงานของรัฐ ในการนำเสนอการทำงานของรัฐบาลให้ประชาชนได้เข้าใจ โดยเฉพาะด้านการเมือง เนื่องจากใกล้ถึงวันตัดสินคดีน.ส. ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในวันที่ 25 ส.ค.นี้ ว่า การประชุมดังกล่าวเพื่อให้สื่อท้องถิ่นเสนอผลงานของรัฐบาลให้ประชาชนทุกระดับได้เข้าใจถึงเป้าหมายของรัฐบาล รวมถึงการให้ประชาชนมีส่วนร่วมแจ้งเบาะแสความเคลื่อนไหวต่างๆ ในพื้นที่ และกระแสการ เมืองที่อาจมีการเคลื่อนไหวในแต่ละพื้นที่

ด้านพ.อ.วินธัย สุวารี โฆษกคสช. กล่าวถึงโฆษกรัฐบาล ขอความร่วมมือสื่อติดตามทำข่าวให้กับรัฐมนตรีทุกกระทรวงว่า เป็นเจตนาที่บริสุทธิ์ในการบริหารจัดการสนับสนุนเนื้อหาการปฏิบัติงานของแต่ละกระทรวง แต่สื่อมวลชนบางคนนำไปทำให้เป็นประเด็น และไม่น่าจะแปรเจตนาไปในแง่มุมอื่น ส่วนที่สื่อบางสำนักระบุสื่อไม่มีหน้าที่ประชา สัมพันธ์ ถือเป็นเรื่องอิสระส่วนบุคคลคงไม่เป็นไร หากสื่อไม่สนใจในเนื้อหาที่สำนักงานโฆษกได้เตรียมเป็นข้อมูลให้เบื้องต้นก็อยู่ในดุลพินิจของสื่อ และต้องขอโทษแทนด้วยที่คิดว่าเป็นการรบกวนการทำงานของสื่อ และเชื่อมั่นว่านายกฯจะไม่มีอาการน้อยอกน้อยใจแต่อย่างใด

ศาลปค.ไต่สวน”บุญทรง”ร้อง

ที่ศาลปกครอง ถนนแจ้งวัฒนะ ศาลปกครองนัดไต่สวนคดีพิพาทระหว่าง นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีตรมว.พาณิชย์ และ นายภูมิ สาระผล อดีตรมช.พาณิชย์ ฟ้องพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กับพวกรวม 3 คน จากกรณีแต่งตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิด และมีคำสั่งทางปกครองให้กระทรวงพาณิชย์เรียกเงินชดใช้ค่าสินไหม ในโครงการระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ หรือจีทูจี โดยนายบุญทรง และนายภูมิ ขอให้ศาลปกครองกลางพิจารณาเพิกถอนคำสั่งดังกล่าว เนื่องจากเห็นว่าเป็น คำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายและเป็นเหตุให้ได้รับความเดือดร้อนเสียหาย ซึ่งคดีนี้ศาลปกครองกลางได้ตั้งองค์คณะพิเศษ 7 คนรับผิดชอบสำนวนนี้ และนัดไต่สวนวันนี้เป็นครั้งที่ 3

ทั้งนี้ การไต่สวนวันนี้เป็นครั้งสุดท้าย จากนี้ศาลจะนัดฟังคำสั่งว่าจะทุเลาตามคำร้องขอหรือไม่ หากศาลมีคำสั่งทุเลา ก็ต้องยกเลิกการอายัดบัญชีทั้งหมดก่อนหน้านี้ของผู้ฟ้อง รวมถึงต้องชะลอการเรียกเก็บค่าสินไหมทดแทนตามที่คณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิด ได้เรียกเงินชดใช้ โดยเรียกจากนายบุญทรง 1,770 ล้านบาท และนายภูมิ 2,300 ล้านบาท

ขอศาลสั่งทุเลาอายัดทรัพย์

นายบุญทรงกล่าวภายหลังการไต่สวนว่า ได้ชี้แจงต่อศาลว่าการมาขอทุเลาเป็นเรื่องฉุกเฉิน ถ้าหากศาลไม่มีคำสั่งทุเลาจะเกิดผล กระทบรุนแรง เพราะ 1 ใน 8 บัญชีที่อายัด เป็นบัญชีที่ใช้เป็นหลักทัพย์ยื่นขอประกันตัวในศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง หากในวันที่ 25 ส.ค. นี้ ศาลฎีกาฯ มีคำพิพากษาลงโทษ ก็อาจมีปัญหาในเรื่องหลักทรัพย์ที่จะใช้ขอประกันในช่วงยื่นอุทธรณ์ 2 บัญชีที่อายัดก็เป็นชื่อของภรรยา กระทรวงการคลังไม่มีสิทธิ์ไปแตะต้อง จึงได้ชี้แจงต่อศาลว่าหากศาลยังคงไม่มีคำสั่งทุเลา ทางกรมบังคับคดีและกรมการค้าต่างประเทศ ก็คงจะดำเนินการเช่นนี้ไปเรื่อยๆ โดยไม่ได้แจ้งว่ามีหลักประกันความเสียหาย ที่จะเยียวยาให้ในภายหลังได้อย่างไร

นายบุญทรงกล่าวยืนยันว่า ในวันที่ 25 ส.ค. นี้ จะเดินทางไปฟังคำพิพากษาคดีระบายข้าว และจากพยานหลักฐานที่นำไปแสดงต่อศาล มั่นใจว่าเราไม่ได้ทำอะไรผิด เราบริสุทธิ์ และสามารถตอบประเด็นที่ศาลสงสัยได้อย่างชัดเจน แต่ศาลจะตัดสินอย่างไรคงไม่ก้าวล่วง และพร้อมที่จะรับในคำพิพากษาที่ออกมา หากศาลตัดสินว่าผิด ก็จะยื่นอุทธรณ์ตามรัฐธรรมนูญปี 2560

ด้านนายภูมิเปิดเผยว่า ตนถูกอายัดเงินที่ใช้ประกันตัวในคดีที่ศาลฎีกาฯ ทำให้เดือดร้อนเสียหาย จึงขอให้ศาลพิจารณาว่าความเดือดร้อนที่เราได้รับ โดยหวังว่าจะได้รับการบรรเทาทุกข์ กรณีอายัดซ้ำเช่นนี้ถูกต้องหรือไม่ ซึ่งบัญชีที่ถูกอายัดนี้ถือว่ามีความสำคัญและเป็นเงินจำนวนมาก เราไปกู้ยืมมาจากบุคคลอื่นมาใช้ประกันตัว หากถูกยึดจะเป็นภาระหนัก ทั้งไม่มีเงินประกันในชั้นอุทธรณ์และต้องใช้หนี้ให้แก่เจ้าของเงิน

ให้ประกันคดีล้มประชุมอาเซียน

นางเอมอร สินธุไพร อดีต ส.ส.ร้อยเอ็ด พรรคเพื่อไทย เปิดเผย จากคดีที่อัยการจังหวัดพัทยาเป็นโจทก์ยื่นฟ้องแกนแนวร่วมประชา ธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) บุกปิดล้อมโรงแรมรอยัล คลิฟ บีช รีสอร์ท เมืองพัทยา และล้มการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนเมื่อปี 2552 และศาลอุทธรณ์ตัดสินจำคุกคนละ 4 ปี ไม่รอลงอาญา ล่าสุดศาลจังหวัดพัทยาอ่านคำสั่งศาลฎีกา ให้ประกันตัวนายนิสิต สินธุไพร นายวรชัย เหมะ นายพายัพ ปั้นเกษ และนายสมยศ พรหมมา และปล่อยตัวชั่วคราวแล้ว โดยศาลตีมูลค่าหลักทรัพย์ในการประกันตัวที่คนละ 1,500,000 ล้านบาท พร้อมเงื่อนไขในการประกันตัวคือ ห้ามออกนอกราชอาณาจักรเว้นแต่ได้รับอนุญาตจากศาล”

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้ศาลพัทยาได้อ่านคำสั่งศาลฏีกาให้ผู้ต้องหาได้รับการประกันตัวและปล่อยตัวชั่วคราวไปแล้วจำนวนหนึ่ง ประกอบด้วย นายพิเชฐ สุขจินดาทอง, นาย ศักดิ์ดา นพสิทธิ์, พ.ต.ท.ไวพจน์ อาภารัตน์, นาย นพพร นามเชียงใต้, นพ.วัลลภ ยังตรง

ป๋าเปิดสี่เสาฯให้”ตู่”อวยพรวันเกิด

เมื่อวันที่ 18 ส.ค. พล.ท.พิศณุ พุทธวงศ์ หัวหน้าสำนักงานประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ในฐานะนายทหารคนสนิท พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ เปิดเผยว่า ในวันคล้ายวันเกิดพล.อ.เปรม ครบ 97 ปี ในวันที่ 26 ส.ค.นี้ ซึ่งตรงกับวันเสาร์ พล.อ.เปรมจะไปทำบุญเป็นการส่วนตัวที่วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม ส่วนบุคคลใดที่จะอวยพรนั้น ขอเป็นการ์ดอวยพรวันเกิด ซึ่งขณะนี้พล.อ.เปรม มีสุขภาพร่างกายแข็งแรงดี ไม่มีอะไรน่าห่วง

พล.ท.พิศณุกล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ ทำหนังสือขอนำครม.และ เหล่าทัพ เข้าอวยพรวันคล้ายวันเกิดพล.อ.เปรม ล่วงหน้าในวันที่ 24 ส.ค. นี้ ซึ่งพล.อ.เปรมก็อนุญาต และให้เข้าอวยพรเพียงคณะเดียวเท่านั้น เพราะไม่อยากรบกวนใคร

“ส่วนที่ตั้งข้อสังเกตว่าการเปิดบ้านสี่เสาเทเวศร์ให้นายกฯ ครม.และเหล่าทัพ เข้าอวยพรในวันที่ 24 ส.ค. แทนวันที่ 25 ส.ค. เนื่องจากไม่ต้องการให้ตรงกับวันตัดสินคดีโครงการจำนำข้าว ของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ นั้น คงไม่เกี่ยวกัน เพราะพล.อ.ประยุทธ์ ทำหนังสือเข้ามา ระบุขอเข้าพบวันที่ 24 ส.ค. เนื่องจากท่านว่างจากการปฏิบัติหน้าที่ ส่วนสื่อมวลชนอนุญาตให้เข้าทำข่าวได้ตามปกติ” พล.ท.พิศณุกล่าว

ทูตสหรัฐจับตาคดีแจ้งจับ”ประวิตร”

เมื่อวันที่ 18 ส.ค. ที่กองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) นายประวิตร โรจนพฤกษ์ ผู้สื่อข่าวอาวุโสของข่าวสดภาคภาษาอังกฤษ เข้าไปรับทราบข้อกล่าวหาและชี้แจงกรณีถูกหมายเรียกจากปอท. ในข้อหายุยงปลุกปั่นตามมาตรา 116 และนำข้อมูลอันเป็นเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ เนื่องจากโพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก วิจารณ์รัฐธรรมนูญฉบับล่าสุด โดยปรากฏรูปภาพที่แสดงท่าทีไม่เหมาะสม รวมถึงการแสดงความคิดที่มีผลกระทบต่อรัฐบาล และคสช.

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 8 ส.ค. ที่ผ่านมา นายประวิตรได้ถูกแจ้งข้อกล่าวหาและเข้ารับทราบ ข้อกล่าวหา โดยยืนยันว่าการโพสต์ข้อความดังกล่าวเป็นไปตามสิทธิที่สามารถแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการทำงานของรัฐบาลได้ และไม่ได้ยุยงปลุกปั่นหรือสร้างความเคลื่อนไหวของมวลชนกรณีโพสต์ถึงการตัดสินคดีของน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การมารับทราบข้อกล่าวหาเพิ่มเติมในวันนี้ มีนายแอนดี้ อาร์มสตรอง เลขานุการโทเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกา พร้อมเจ้าหน้าที่ไทยประจำสถานทูตเข้าร่วมสังเกตการณ์ เนื่องจากสนใจในเรื่องสิทธิของประชาชนที่ได้รับจากรัฐบาล ทั้งนี้ ได้เข้าพบพนักงานสอบสวน บก.ปอท.นานกว่า 2 ช.ม.

น.ส.เยาวลักษณ์ อนุพันธ์ หัวหน้าศูนย์ทนายเพื่อสิทธิมนุษยชน กล่าวว่า มารับทราบข้อกล่าวหาตามมาตรา 116 กับ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ มาตรา 14 การนำเข้าข้อมูลอันเป็นเท็จ ซึ่งเป็นข้อมูลเกี่ยวกับความมั่นคงและเผยแพร่ข้อมูลนั้น โดยเจ้าหน้าที่แจ้งว่าผู้ต้องหาโพสต์ 5 ข้อความต่อเนื่องกัน ซึ่งเป็นข้อความที่ก่อให้เกิดความไม่สงบ ก่อให้เกิดความปั่นป่วน และเป็นข้อความเท็จ ซึ่งเรารับทราบข้อกล่าวหาแล้วและให้การปฏิเสธ ก่อนจะทำหนังสือเป็นลายลักษณ์อักษรชี้แจงว่าข้อความไหนบ้างที่ไม่เป็นเท็จ ไม่ก่อให้เกิดความไม่สงบตามที่ถูกกล่าวหา

นายประวิตรกล่าวยืนยันว่า การโพสต์ดังกล่าวเป็นการให้ข้อมูลเชิงวิพากษ์โดยสุจริตใจ ไม่ใช่ข้อมูลอันเป็นเท็จ ได้เตรียมอธิบายโต้แย้งเป็นลายลักษณ์อักษรว่าเป็นจริงอย่างไร โดยจะส่งให้เจ้าหน้าที่ภายใน 30 วัน ซึ่งการถูกดำเนินคดีมีผลต่อการทำงานแน่นอน เพราะต้องใช้เวลาเตรียมการถ้าคดีไปถึงศาล จากนี้จะระมัดระวังการโพสต์มากขึ้นแต่ยังยืนยันทำหน้าที่ต่อไป ส่วนวันตัดสินคดีน.ส.ยิ่งลักษณ์ในวันที่ 25 ส.ค.นี้ ถือเป็นสิทธิของประชาชนที่จะมาให้กำลังใจ ซึ่งต่างชาติก็จับตามองดูสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นในวันนั้น

พม.เดินหน้าแก้ปัญหาขอทาน

เมื่อวันที่ 18 ส.ค. พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รมว.การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ติดตามความก้าวหน้ากระบวนการดำเนินงาน Start Up SE ธัญบุรีโมเดล ระยะที่ 2 เพื่อฟื้นฟู พัฒนาศักยภาพคนไร้ที่พึ่งและคนขอทานอย่างครบวงจร ที่สถานคุ้มครองคนไร้ที่พึ่งชายธัญบุรี จ.ปทุมธานี เพื่อบูรณาการป้องกันและแก้ไขปัญหาคนไร้ที่พึ่งคนขอทาน อย่างเป็นรูปธรรมและยั่งยืน

พล.ต.อ.อดุลย์กล่าวว่า หนึ่งในกระบวนการสำคัญ คือ การคุ้มครอง ฟื้นฟู พัฒนาศักยภาพตามโครงการธัญบุรีโมเดล นำร่องในสถานคุ้มครองคนไร้ที่พึ่งชายธัญบุรี จ.ปทุมธานี ด้วยกิจกรรมด้านเกษตรกรรมแบบยั่งยืน พัฒนาทักษะอาชีพตามความสนใจ และขยายผลไปยังสถานคุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง 10 แห่ง รวมเป็น 11 แห่งทั่วประเทศ มีผู้เข้าโครงการทั้งหมด 1,476 คน ซึ่งได้รับการตอบรับและเยี่ยมชมศึกษาดูงาน จากหน่วยงานภายนอกอย่างต่อเนื่อง

พล.ต.อ.อดุลย์กล่าวต่อว่า ในระยะที่ 2 ในปี 2560 ดำเนินการขับเคลื่อนพัฒนาศักยภาพคนไร้ที่พึ่ง คนขอทานมิติใหม่ กับ Start up SE ธัญบุรีโมเดล เพื่อให้ภาคธุรกิจ/เอกชน หนุนเสริมพัฒนางานในสถานคุ้มครองคนไร้ที่พึ่งธัญบุรี สร้างแหล่งเรียนรู้ตลอดชีวิตสำหรับทุกคนในชุมชน และใช้วิธีเกษตรประณีต สร้างอาชีพตามแนวทางสวัสดิการเชิงรุกกับบริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) เพื่อยกระดับรายได้ที่มั่นคงแก่คนไร้ที่พึ่ง คนขอทาน โดยกิจกรรมวันนี้เป็นการแสดงผลงานความก้าวหน้าการขับเคลื่อนงาน Start Up SE ธัญบุรีโมเดล ระยะที่ 2 ประกอบด้วย นิทรรศการการพัฒนารูปแบบ SE ร่วมกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 3 โมเดล ได้แก่ นิคมเกษตรกรรมยั่งยืน Hope ผลิตภัณฑ์อาชีวะบำบัด และสินค้าต้นแบบสามชนเผ่า การจำลองกิจกรรมตามแนวคิด School-BIRD การเกษตรประณีต ร่วมกับมูลนิธิประชาบดีกิจการเพื่อสังคม การแสดงผลิตภัณฑ์ Bag Again ขยะรีไซเคิล ร่วมกับบริษัทปันฝัน ปันยิ้ม

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน