จากกรณีโลกออนไลน์มีการแชร์เรื่องราวชาวหนุ่มหลายคนที่ถูกลวงให้แต่งงานด้วยก่อนจะเชิดสินสอดหลบหนีไป จนนำไปสู่การร้องเรียนและมีผู้ร้องทุกข์หลายรายด้วยกัน

 

วันที่ 5 ก.ย. ที่กองปราบฯ ผู้เสียหายได้เข้าแจ้งความร้องเรียน โดยพบว่า น.ส.จริยาภรณ์ บัวใหญ่ หรือ น้ำมนต์ หรือ พร อายุ 33 ปี อดีตเจ้าหน้าที่พัสดุ เทศบาลตำบลนาแห้ว จ.เลย ถูกไล่ออกจากราชการเมื่อปี 2555 เนื่องจากอ้างว่าสามารถฝากคนเข้าทำงานที่เทศบาล โดยเรียกรับเงินผู้เสียหายรายละ 100,000 – 130,000 บาท ก่อนถูกออกหมายจับในข้อหาฉ้อโกง หลังจากนั้น น.ส.จริยาภรณ์ ได้เปลี่ยนนามสกุลแล้วและหลบหนี ก่อนจะพบว่ามาใช้เฟสบุ๊คชื่อ น.ส.สร้อยเพชร พารีวัลย์ พูดคุยกับเหยื่อที่เป็นผู้ชายเพื่อตีสนิทและสร้างความสัมพันธ์ ก่อนจะล่อลวงให้เหยื่อแต่งงานด้วย

จากข้อมูลที่พบในเบื้องต้น มีผู้ชายที่เคยถูกหลอกให้แต่งงาน หลายราย เบื้องต้นพบมี อยู่ 8 ราย ในหลายพื้นที่ ทั้งใน จ.เลย จ.ชุมพร จ.ปทุมธานี จ.จันทบุรี จ.ระยอง โดยแต่ละราย น.ส.จริยาภรณ์ จะใช้อุบายลักษณะคล้ายๆกันคือ หลังจากนัดเจอกัน ก็จะมีเพศสัมพันธ์กัน จากนั้น น.ส.จริยาภรณ์ จะหลอกว่าท้องและนำภาพอัลตร้าซาวด์ให้เหยื่อดู ก่อนเข้าพิธีแต่งงานและเชิดเงินค่าสินสอดหลบหนี โดยผู้เสียหายแต่ละรายจะถูกหลอกเงินตั้งแต่หลักหมื่นไปถึงหลักแสน บางรายถูกหลอกว่าจะทำธุรกิจร่วมกัน เป็นต้น นอกจากนี้ยังพบอีกว่า น.ส.จริยาภรณ์ ถูกศาลจังหวัดชุมพร ออกหมายจับข้อหา ฉ้อโกง เนื่องจากชักดาบค่าทุเรียนกว่า 3 แสนบาท และมีหมายจับอีกหลายท้องที่ เช่น สภ.ประตูน้ำพระอินทร์ จ.ปทุมธานี ในเรื่องทำนองเดียวกันเป็นต้น ตามที่มีการเสนอไปแล้ว

 

ความคืบหน้ากรณีดังกล่าว เมื่อเวลา 15.00 น. วันที่ 5 ก.ย. นายสงกรานต์ อัจฉริยะทรัพย์ ทนายความแบะประธานเครือข่ายต่อต้านการบ่อนทำลายชิติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ พาเหยื่อซึ่งเป็นเจ้าบ่าวทั้งหมด 12 รายและตัวแทนเหยื่ออีก 1 ราย เข้าพบ พ.ต.อ.สุวัฒน์ แสงนุ่ม รอง ผบก.ป เพื่อแจ้งความดำเนินคดี กับ น.ส.จริยาภรณ์ บัวใหญ่ หรือ น้ำมนต์ พ่อและแม่ของ น.ส.จริยาภรณ์ ในข้อหาร่วมกันฉ้อโกงโดยการแสดงตนเป็นผู้อื่น

นายสงกรานต์ กล่าวว่า เนื่องจากพบว่ามีผู้เสียหายหลายรายที่ถูกหลอกในลักษณะคล้ายกัน โดยปรากฏชื่อหญิงสาวคนหนึ่งชื่อ สร้อยเพชร พาลีวรรณ ตามลักษณะพฤติการคือ มีการจีบ พูดคุยกันไปมาผ่านเฟสบุ๊ค จนเกิดความสัมพันธ์กัน และบอกกับเหยื่อว่า พ่อแม่ขอสินสอด โดยเหยื่อแต่ละรายจะถูกหลอกให้โอนเงินเข้าธนาคารแห่งหนึ่งในห้างสรรพสินค้า ซึ่งมีชื่อ น.ส.สร้อยเพชร เป็นเจ้าของบัญชี จากนั้นก็มีงานแต่งงานก่อนจะหลบหนี โดยเหยื่อแต่ละรายให้จ้อมูลทำนองเดียวกันว่า ระหว่างนั้นก็จะมีการให้เหยื่อไปขายผลไม้ ซึ่งเป็นผลไม้ตามฤดูกาล และจากการตรวจสอบชื่อ สร้อยเพชร พาลีวรรณ นั้นพบว่า เป็นคนละคนกันกับ น.ส.จริยาภรณ์ และเชื่อว่าตัวของ สร้อยเพชร น่าจะมีส่วนรู้เห็นกับเรื่องนี้ เพราะว่าตั้งแต่มีการออกข่าวมา ตัวของสร้อยเพชรก็เงียบหาย และทางพนักงานสอบสวนในหลายท้องที่หลายโรงพักเคยออกหมายเรียกก็ไม่เคยเข้าพบ และในส่วนของสินสอดตามกฎหมายระบุไว้ชัดเจนว่า สินสอดต้องเป็นสิ่งตอบแทนพ่อแม่ฝ่ายหญิง ดังนั้นพ่อแม่ฝ่ายหญิงก็ต้องโดนด้วย

 

นายสงกรานต์ กล่าวต่อว่า ในวันนี้ที่เดินทางมากองปราบเนื่องจากมีผู้เสียหายหลายรายในหลายพื้นที่ ที่มีการแจ้งความดำเนินคดีและมีหมายจับหรือที่กำลังสอบสวนอยู่ มารวมกันที่กองปราบและขอให้ตรวจสอบเส้นทางการเงินของในบัญชีที่มีการโอนเงินไป ว่ามีการฝากถอนเข้าออกอย่างไร ตรงนี้ก็จะได้ข้อเท็จจริงจะได้มากกว่านี้ และจะได้รู้ว่า น.ส.สร้อยเพชร มีส่วนเกี่ยวข้องอย่างไร โดยเบื้องต้นเหยื่อที่พบในขณะนี้มีทั้งหมด 13 รายที่ถูกหลอกในแบบเดียวกัน โดยแต่ละครั้งพ่อแม่ฝ่ายหญิงก็จะอยู่ด้วย และวันนี้ก็ได้นำหลักฐานต่างๆไม่ว่าจะเป็นการสนทนาผ่านเฟสบุ๊ค การ์ดแต่งงาน ชื่อบัญชี เข้ายื่นต่อเจ้าหน้าที่ด้วย

 

ด้าน พ.ต.อ.สุวัฒน์ กล่าวว่า ในเบื้องต้นทางเจ้าหน้าที่จะดูว่าผู้เสียหายรายใดที่ยังไม่เคยแจ้งความ ทางเจ้าหน้าที่จะรับเรื่องดังกล่าวไว้เพื่อดำเนินคดี ส่วนคนไหนที่เคยแจ้งความและมีหมายจับทางกองปราบนั้นก็ดำเนินการมาอยู่แล้วจากนโยบายการจับผู้ต้องหาตามหมายจับเก่าอยู่แล้ว และทางกองปราบจะส่วนเจ้าหน้าที่สืบสวนดำเนินการหาคนร้ายมาดำเนินคดี

 

อย่างไรก็ตามผู้สื่อข่าวรายงานว่า ผู้เสียรายแรก ได้ให้ข้อมูลว่า ได้พูดคุยผ่าน facebook 2 เดือนและตัดสินใจแต่งงานวันที่ 30 ก.ย. โดย สินสอด 2 แสนบาท แต่ยังไม่ได้แต่งงานกันเพราะฝ่ายชายไม่พร้อมเรื่องเงิน จีงเลื่อนแต่งไปเดือนก.พ. เจอที่สมุทรปราการโดยโดนหลอกให้ไปขายลิ้นจี่

 

ส่วนรายที่ 2 เผยว่า คุยกันผ่าน facebook ประมาณ 4-5 เดือน กว่าจะเจอหน้ากัน โดยผู้หญิงบอกว่าท้อง จึงต้องแต่งงานกัน วันที่ 1 พ.ย 58 โดยเสียค่าสินสอดเป็นจำนวน 2 แสนบาท อยู่ด้วยกัน 4 คืนก่อนบอกว่าแท้งแล้วหายไป

 

ขณะที่ รายที่ 3 กล่าวว่า รู้จักกันโดยฝ่ายหญิงเป็นฝ่ายทักแชทเฟสมาหาแล้วได้พูดคุยกัน แล้วโดนหลอกให้ออกจากงานมาทำธุรกิจขายผลไม้ จึงได้แต่งงานกันและเสียหายค่าสินสอดจำนวน 180,000 บาท และรถ 1 คัน พี่สาวของผู้เสียหายได้โดนหลอกให้ลงทุนทำธุรกิจด้วยกันเสียเงินค่ามัดจำ 120,000 บาท แล้วหายไป

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน