ปปป.ลุยอีกรอบ คดีเงินทอนวัด ค้นบ้านนายพนม ศรศิลป์ อดีตผอ.พศ. ที่ อ.สามพราน จ.นครปฐม เบื้องต้นแจ้งข้อหาปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบและเป็น เจ้าพนักงานใช้อำนาจหน้าที่เบียดบังทรัพย์ ผบก.ปปป.เผยลุยค้นพร้อมกัน 14 จุด ใน 7 จังหวัด มีผู้ต้องหา 19 คน เป็นข้าราชการและอดีตข้าราชการใน พศ. 13 คน พลเรือน 2 คน พระ 4 รูป เบื้องต้นแจ้งข้อหาแล้ว 3 รมต.ออมสินเผย สตง.ตรวจพบการทุจริตเงินทอนวัดเพิ่มเติม 30 วัด คิดเป็นเงิน 300 ล้าน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเช้าวันที่ 21 ก.ย. พล.ต.ต.กมล เหรียญราชา ผู้บังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับการทุจริตและ ประพฤติมิชอบ (ปปป.) นำกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.ปปป. กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) กองบังคับการปราบปรามการ กระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (ปอศ.) เจ้าหน้าที่จากสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ปปท.) เจ้าหน้าที่สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.)และเจ้าหน้าที่จากกรมสรรพากร กระจายกำลังนำหมายค้นของศาลทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง เข้าตรวจค้นบ้านของบุคคลต้องสงสัยว่าเกี่ยวข้องกับการทุจริตเงินทอนวัด รวม 14 จุดใน 7 จังหวัด สำหรับในส่วนของจังหวัดนครปฐมมีการกระจายกำลังเข้าตรวจค้น 2 จุดสำคัญพร้อมกัน คือ ที่บ้าน หมู่ 9 ภายในหมู่บ้านบางกอก บูเลอวาร์ด ถนนพุทธมณฑลสาย 4 ต.กระทุ่มล้ม อ.สามพราน ซึ่งเป็นของนายพนม ศรศิลป์ อดีตผู้อำนวยการสำนักงาน พระพุทธศาสนาแห่งชาติ และบ้าน หมู่ 1 ต. บางกระทึก อ.สามพราน ของนายพัฒนา สุอำมาตย์มนตรี อายุ 47 ปี ตำแหน่งนักวิชาการศาสนา สำนักพุทธศาสนา จ.นครปฐม

สำหรับในการตรวจค้นที่บ้านของนายพนม พบเป็นบ้านเดี่ยว 2 ชั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจได้แสดงหมายศาลเพื่อขอเข้าตรวจค้น โดยนายพนม ออกมารับหมายและนำ เจ้าหน้าที่เข้าตรวจค้นภายในบ้านพักด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแต่ไม่อนุญาตให้ผู้สื่อข่าวและ ผู้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเข้าไปในบ้าน จากการตรวจค้นภายในบ้านพบพระเบญจภาคีทองคำแท่งน้ำหนัก 80 บาท เอกสารการซื้อขายหุ้น เงินสด โฉนดที่ดิน สมุดบัญชีเงินฝากและหนังสือร้องเรียน พร้อมเอกสารที่คาดว่าจะเกี่ยวข้องกับคดีจำนวนหนึ่ง จึงอายัดทรัพย์สินที่พบไปตรวจสอบ ว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับงบประมาณและการนำเงินไปเป็นเงินอุดหนุนตามวัดต่างๆ และเกี่ยวกับการฟอกเงินหรือไม่ ในเบื้องต้นได้แจ้ง ข้อกล่าวหา ในฐานปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้น การปฎิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามมาตรา 157 และฐานเป็นเจ้าพนักงานใช้อำนาจหน้าที่เบียดบังทรัพย์เป็นของตนเอง ตามมาตรา 147

ส่วนที่บ้านของนายพัฒนา พบเป็นบ้านไม้สองชั้น อยู่บนเนื้อที่กว่า 100 ตารางวา ตรวจค้นพบเงินสดจำนวน 100,000 บาท สมุดบัญชีธนาคาร คอมพิวเตอร์ รวมทั้งเอกสารเกี่ยวกับงบประมาณอุดหนุนวัด พร้อมรายชื่อบัญชีวัดที่คาดว่ามีส่วนในเรื่องเงินทอนวัดร่วม 100 ล้านบาท จึงได้ตรวจยึดทั้งหมดเพื่อนำมาตรวจสอบ พร้อมเชิญ ตัวนายพัฒนา ไปสอบปากคำที่ บก.ปปป.

พล.ต.ต.กมลเผยว่า วันนี้กระจายกำลังออกไปทั้งหมด 7 จังหวัด 14 แห่งพร้อมกัน และที่มาในวันนี้เพื่อตรวจสอบดูพยาน หลักฐานเกี่ยวกับคดีที่ได้ดำเนินคดีกับนายพนม ศรศิลป์ อดีต ผอ.พศ. เพราะมีการรับเรื่องการร้องทุกข์ที่ได้รับเรื่องไว้แล้ว ที่พบในวันนี้มีเอกสารเรื่องการร้องเรียนและเอกสารทางคดีหลายอย่าง โดยทรัพย์สินที่พบได้อายัดไว้ทั้งหมด โดยนายพนมให้ความร่วมมืออย่างดี ส่วนความเชื่อมโยงทางคดีจาก 12 คดีแรก กับครั้งนี้อีก 23 คดี ต้องตรวจสอบงบในแต่ละปีว่าจะเชื่อมโยงกันแบบไหนบ้าง ซึ่งมีงบอยู่ 3 งบ งบอุดหนุน งบปฏิสังขรณ์พัฒนาวัด และงบเผยแผ่พระพุทธศาสนา ที่พบว่ามีการทุจริต ตอนนี้มีรวมทั้งหมด 35 คดี ที่เป็นการทุจริตงบประมาณรัฐ ซึ่งผู้ถูกกล่าวหาก็ต้องนำ หลักฐานต่างๆมาแสดงเพื่อยืนยันกันต่อไป และทั้งหมดที่เข้าตรวจสอบมีทั้งประชาชนและข้าราชการที่ร่วมกันทุจริต

พล.ต.ต.กมล เปิดเผยต่อว่า เบื้องต้นได้แจ้งข้อกล่าวหากับผู้ต้องหา 3 คนประกอบด้วยนายณรงค์เดช ชัยเนตร ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัด (พศจ.) สิงห์บุรี นายพัฒนา สุอำมาตย์มนตรี และนายพนม ศรศิลป์ ซึ่งมีพฤติกรรมในการทุจริตโดยได้ทำงบประมาณลงไปที่วัด เช่น งบประมาณอุดหนุนปฏิสังขรวัดหรือพัฒนาวัด เมื่อเอางบฯ ลงไปที่วัดก็มีการทุจริตเอางบฯ กลับคืนมา ส่วนงบปริยัติธรรมได้มีการเอางบฯ ลงไปโดยที่วัดนั้นไม่มีโรงเรียนในการสอนพระปริยัติธรรม ซึ่งเป็นการทุจริตตั้งแต่เริ่มต้น และงบฯ เผยแผ่ในครั้งนี้ได้ดำเนินคดีจำนวน 23 คดี มีงบประมาณลงไปประมาณ 180 ล้านบาท มีการทุจริตเอาไป 140 ล้านบาท เงินถึงวัดจริงๆ ประมาณ 40 ล้านบาท มี ผู้ต้องหา 19 คน เป็นผู้ต้องหาในกลุ่มแรก 5 คน ซึ่งกลุ่มผู้ต้องหาจะเป็นข้าราชการและอดีตข้าราชการในพศ.จำนวน 13 คน พลเรือน 2 คน พระ 4 รูป

พล.ต.ต.กมลเปิดเผยต่อว่า ทั้งนี้ได้มีการดำเนินคดีกับนายณรงค์เดชจำนวน 4 คดี ซึ่งทางนายณรงค์เดชได้รับทราบในข้อกล่าวหา แต่ยังไม่ยอมเปิดเผยข้อมูลใด ส่วนนายพนมหากมีการสอบปากคำเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้วก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเชิญตัวมาที่บก.ปปป. ในวันนี้มีการแจ้งข้อกล่าวหาไปแล้ว 3 คน ส่วนอีก 16 คน จะมีการเรียกมาแจ้งข้อกล่าวหาต่อไป หากไม่มาก็ไม่เป็นไร ทางบก.ปปป.จะรวบรวมเรื่องส่งไปที่ป.ป.ช. ให้ทางป.ป.ช.ดำเนินการต่อ อย่างไรก็ตามการดำเนินคดีใน 12 คดีแรกทางป.ป.ช.ได้ส่งเรื่องกลับมาให้แล้ว ซึ่งจะออกหมายเรียกให้ผู้ต้องหาทั้ง 9 คนเข้ามาพบเจ้าหน้าที่

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ต่อมาเวลา 15.30 น. นายพนมได้เดินทางเข้ามาที่ บก.ปปป. เพื่อให้รายละเอียดเพิ่มเติมหลังจากรับทราบข้อกล่าวหาโดยเปิดเผยกับสื่อมวลชนสั้นๆ ว่า ไม่กังวลใจ เพราะที่ตนถูกแจ้งข้อกล่าวหา เนื่องมาจากตนมีชื่ออนุมัติโครงการหนึ่งตอนยังดำรงค์ตำแหน่งในพศ. ซึ่งหลังจากนี้จะไปรวบรวมหลักฐานเพื่อเข้ามายื่นหนังสือชี้แจงกับทาง ปปป.

ต่อมาเวลา 12.00 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายออมสิน ชีวะพฤกษ์ รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ว่า เป็นการทำงานของตำรวจตามขั้นตอนปกติ ซึ่งตนยังไม่ได้รับ รายงานเรื่องดังกล่าว เรื่องการตรวจทุจริตเงินวัดนั้นยังเดินหน้าอย่างต่อเนื่อง แม้พ.ต.ท.พงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ จะไม่ได้อยู่ในตำแหน่งผอ.พศ.แล้ว ทุกเรื่องหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องต้องทำหน้าที่ต่อไป จะหยุดไม่ได้

ผู้สื่อข่าวถามว่าตำรวจปปป.เข้าไปตรวจค้นบ้านผู้ที่เกี่ยวข้องแสดงว่ามีการการเชื่อมโยงกับการทุจริตเงินทองวัดหรือไม่ นายออมสินกล่าวว่า เข้าใจว่าเป็นกระบวนการทำงานของปปป.ที่ไปขอหมายศาลเข้าไปขอตรวจค้น เมื่อถามว่าจากการตรวจสอบพบว่า มีการทุจริตเงินทอนวัดเพิ่มเติมหรือไม่นายออมสินกล่าวว่า เมื่อวันที่ 13 ก.ย.ที่ผ่านมา สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน(สตง.) มีหนังสือมาถึงตนโดยระบุว่า ตรวจพบการทุจริตเงินทอนวัดประมาณ 30 วัด ส่วนใหญ่เป็นวัดขนาดเล็กทั่วประเทศ เท่าที่จำได้มี ผู้เกี่ยวข้องเป็นฆราวาส 13 คน พระครูในต่างจังหวัด 2 รูป ซึ่งตนได้แจ้งให้ผอ.พศ.ดำเนินการต่อแล้ว ส่วนข้าราชการพศ. ทั้งนาย พนม ศรศิลป์ อดีตผอ.พศ. น.ส.ประนอม คงพิกุล อดีตรองผอ.พศ. และข้าราชการระดับผู้อำนวยการสำนัก 3-4 คน ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ไปก่อน ถ้าทำงานต่อไปไม่ได้ก็ต้องพักงาน ที่เหลือเป็นระดับเจ้าหน้าที่ ทุกอย่างมีระเบียบขั้นตอนทางราชการอยู่แล้วการดำเนินการในส่วนของตัวบุคคลเป็นหน้าที่ของตำรวจ เรามีหน้าที่ให้ข้อมูลในส่วนที่เขาต้องการ ถ้าเชื่อมโยงไปถึงพระก็ต้องดำเนินการต่อ เพราะถ้าไปสืบที่พระก่อนแล้วมาดำเนินการกับคนในพศ.จะดำเนินการลำบาก และจากข้อมูลเป็นเรื่องที่คนของเราไปเสนอกับพระ

“ตามหนังสือ 30 เรื่องที่สตง.ส่งมานั้นมีทั้งเรื่องเก่าและเรื่องใหม่ คิดเป็นเงินประมาณ 300 ล้าน แต่เรื่องที่เกิดกินระยะเวลาหลายปี ตั้งแต่สมัยนายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ ดำรงตำแหน่งผอ.พศ. เรื่อยมาถึงนายพนม ซึ่งพฤติกรรมเหมือนกันคือไปบอกพระว่าจะให้เงินปฏิสังขรณ์วัดแล้วขอเป็นเงินทอน ให้ไปสองล้านขอคืนล้านสาม วัดในต่างจังหวัดที่มีพระรูปเดียวท่านคงไม่รู้ระเบียบราชการและเมื่อเป็นข้าราชการพศ. พระก็เชื่อ ที่พูดแบบนี้ไม่ได้ปกป้องพระ แต่อ่านตามนั้น ส่วนเรื่องเงินทอนวัดมีมาตั้งแต่สมัยไหนนั้น ผมไม่รู้ และที่ตรวจสอบได้ครั้งนี้เขาดูจากการโอนเงินคืนเข้าบัญชี เพราะอาจชะล่าใจรวมถึงไปขอคืนเป็นเงินสดแต่มีพยานบุคคลเห็น” นายออมสินกล่าว

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน