น.สพ.สิทธิเดช มหาสาวังกูล ผู้อำนวยการโรงพยาบาลช้างศูนย์อนุรักษ์ช้างไทย สถาบันคชบาลแห่งชาติ เปิดเผยถึงเรื่องความทรงจำที่เคยได้เข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระปรมินทรภูมิพลอดุลยเดช และได้กราบแทบฝ่าพระบาท เป็นความปลาบปลื้มปีติอย่างหาที่สุดไม่ได้
น.สพ.สิทธิเดช มหาสาวังกูล เล่าว่า เมื่อปี 2547 ในหลวงทรงมีพระราชกระแสรับสั่งให้ย้ายพระเศวตอดุลยเดชพาหนฯ จากวังสวนจิตรลดา จ.กรุงเทพมหานคร ไปยืนโรงที่วังไกลกังวล อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งตอนนั้นพระองค์ท่านได้เส็ดจประทับไปอยู่ที่วังไกลกังวล ตามโบราณราชประเพณีกล่าวไว้ว่า ถ้าพระมหากษัตริย์เสด็จแห่งใดก็จะต้องนำช้างคู่บารมีไปด้วย ทางทีมงานของสถาบันคชบาลแห่งชาติ ได้ร่วมกับมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จึงทำการขนย้ายพระเศวตฯ เมื่อเดือนมีนาคม 2547 และมีพระราชพิธีสมโภช
ตอนนั้นตนก็ได้เข้าเฝ้าด้วยแต่ไม่ได้มีโอกาสใกล้ชิดพระองค์ท่าน หลังจากนั้นเป็นต้นมา สัตวแพทย์ของสถาบันคชบาลแห่งชาติ ต้องไปตรวจเยี่ยมสุขภาพของพระเศวตฯ เป็นประจำ กระทั่งเมื่อปี 2549 พระองค์ท่านได้พาพระสหายมาดูพระเศวต เมื่อตนทราบข่าวจึงใส่ชุดสีกากีเข้าไปรับเสด็จที่โรงช้าง แลได้มีโอกาสถวายรายงานใกล้ชิดเกี่ยวกับสุขภาพพระเศวต มอบพานใส่กล้วยและอ้อยให้พระองค์ท่าน พระราชทานให้พระเศวตฯ ซึ่งพระองค์ทรงซักถามเรื่องพระเศวตฯอยู่ตลอด ใช้เวลานาน 45 นาที ในครั้งนั้นตนมีโอกาสได้ก้มลงกราบแทบพระบาท เป็นครั้งหนึ่งในชีวิต นึกถึงตอนนั้นแล้วพูดไม่ออก เหมือนเป็นกุศลสูงสุดของตน
พระองค์ท่านยังได้ใช้กล้องฉายภาพพระสหายที่ป้อนกล้วยให้พระเศวต ซึ่งมีภาพของตนเองอยู่ในกล้องถ่ายรูปของพระองค์ท่านด้วย เป็นความปลื้มปิติอย่างที่สุด เนื่องจากตั้งแต่ถวายงานมาครั้งนี้เป็นครั้งที่ใกล้ชิดที่สุด ในปี 2552 ได้ใกล้ชิดพระองค์ท่านอีกครั้ง ซึ่งพระองค์ได้พระราชทาน สคส.จากพระหัตถ์ของพระองค์ท่าน ถือเป็นมงคลอย่างยิ่งและได้เก็บ สคส.ไว้อย่างดี
น.สพ.สิทธิเดช กล่าวว่า ในวันที่มีการประกาศเรื่องพระองค์เสด็จสวรรคต ถึงแม้จะทำใจมาแล้วว่าสักวันต้องมีวันนี้ แต่ไม่คิดว่าจะเร็ว อยากให้พระองค์ท่านอยู่ต่อไปอีกหลายปี ข่าวนี้ทำให้ทุกคนช็อก ไม่ใช่แค่ผมคนเดียวแต่ทุกคนทั้งประเทศรู้สึกเหมือนกัน สิ่งที่จะทำต่อไป คือ ทำหน้าที่ของตนเองให้ดี ตอนนี้มีช้างของพระองค์ท่านอยู่ที่ จ.ลำปาง 6 เชือก และ จ.สกลนคร 4 เชือก ต้องดูแลช้างสำคัญของพระองค์ท่านให้ดีที่สุด และจะยึดพระองค์ท่านเป็นต้นแบบใช้ชีวิตแบบพอเพียง
