กสม.เตือนอย่าใช้ความรุนแรง หากมี ปัญหาให้แจ้งตร.ดำเนินตามกฎหมาย ศาลจังหวัดภูเก็ตออกหมายจับลูกเจ้าของร้านน้ำเต้าหู้ โพสต์ 112 แล้ว ส่วนอีกคนที่อ.ถลางก็โดนหมายจับด้วย สระแก้ว ตร.บุกจับหนุ่ม 18 โพสต์หมิ่นเบื้องสูง เจอกัญชาอื้อ สารภาพทำไปเพราะเมายา โฆษกไก่อู ขอร้องให้ทุกคนทำตามกฎหมายบ้านเมือง อย่าดึงสถาบันลงมาสู่ความขัดแย้ง หวั่นข้อมูลโซเชี่ยลมีเดียบิดเบือน ผบ.ศูนย์ไซเบอร์ ทบ.โวยข้อมูล ไอ้หรั่งเครา โพสต์ไล่ล่าในกองพันสห. ยันสอบถามผบ.สห.แล้ว ไม่มีแน่นอน เชื่อเป็นแผนดิสเครดิตกองทัพ

s__32284675-696x392

เมื่อวันที่ 20 ต.ค. ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงกรณีการใช้กำลังรุมทำร้ายผู้ที่มีพฤติกรรมเข้าข่ายละเมิดต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ทั้งที่ตั้งใจหรือเข้าใจผิดว่า รัฐบาลขอให้ทุกคนทุกฝ่ายคำนึงถึงบรรยากาศที่ประเทศกำลังอยู่ในช่วงของการแสดงความไว้อาลัย ประชาชนส่วนใหญ่ยังมีจิตใจเศร้าโศก จึงต้องการพลังรักสามัคคี และความเข้าใจซึ่งกันและกัน เพื่อร่วมกันก้าวผ่านจุดนี้ไปให้ได้ นายกฯ เข้าใจถึงความรู้สึกของประชาชนที่มีความจงรักภักดีและเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างสูงสุด ขอให้ทุกคนระลึกเสมอว่าต้องไม่ดึงสถาบันลงมาอยู่ท่ามกลางความขัดแย้งเห็นต่าง อีกทั้งบ้านเมืองมีกฎหมาย และรัฐบาลจะไม่ละเว้นการบังคับใช้กฎหมายทุกกรณีหากมีการฝ่าฝืน จึงขอให้เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่บ้านเมืองเข้ามาดำเนินการจะเหมาะสมที่สุด

พล.ท.สรรเสริญกล่าวว่า รัฐบาลมีความห่วงใยต่อความสงบสุขเรียบร้อยของประเทศ และไม่ต้องการให้เกิดภาพของความขัดแย้งหรือการใช้ความรุนแรง โดยขอความร่วมมือไปยังทุกภาคส่วน ทั้งสื่อมวลชนไทย สื่อมวลชนต่างประเทศ ตลอดจนเจ้าหน้าที่รัฐและประชาชน ไม่เผยแพร่ภาพและเสียงเหตุการณ์ที่อาจกระตุ้นให้ผู้คนเกิดความรู้สึกไม่พอใจและใช้กำลังเข้าทำร้ายกัน จนทำลายภาพลักษณ์ประเทศ บั่นทอนความรู้สึกของคนไทย หรือเกิดการรับรู้ที่ไม่ถูกต้องของชาวต่างประเทศ

“หลายคนรู้สึกกังวลใจต่อการเผยแพร่หรือส่งต่อข่าวและภาพอย่างไม่มีวิจารณญาณซึ่งมักเกิดขึ้นบ่อยครั้ง โดยเฉพาะทางสื่อ โซเชี่ยลมีเดีย ทำให้เกิดความขุ่นมัวในจิตใจ เข้าใจผิด หรือสร้างความสับสนวุ่นวาย เช่น ข่าว ม.พัน. 1 รอ.เตือนการวางระเบิดตามจุดสำคัญต่างๆ ที่ไม่เป็นความจริง ยืนยันว่าหากเรื่องใดเป็นเรื่องจริงเจ้าหน้าที่จะออกประกาศอย่างเป็นทางการ และไม่ใช้การชี้แจงผ่าน โซเชี่ยลมีเดีย ดังนั้น จึงขอความร่วมมือทุกฝ่ายหยุดเผยแพร่หรือส่งต่อข้อมูลที่ขาดความน่าเชื่อถือ เพื่อไม่ให้ตกเป็นเหยื่อหลงเชื่อข้อมูลผิดๆ ทางโซเชี่ยลมีเดีย โดยหากประชาชนเกิดความสงสัยควรตรวจสอบโดยตรงจากหน่วยงานที่ถูกอ้างอิง หรือติดต่อศูนย์บริการประชาชน 1111 และศูนย์ดำรงธรรมในแต่ละจังหวัด สายด่วน 1567

ที่บก.ทบ. พล.ต.ฤทธี อินทราวุธ ผู้อำนวยการศูนย์ไซเบอร์กองทัพบก (ผอ.ศซบ.ทบ.) กล่าวถึงกรณีมีกลุ่มบุคคลบางกลุ่มพยายามใช้โซเชี่ยลมีเดียในทางที่ผิดบิดเบือนยุยงปลุกปั่นให้เกิดความแตกแยกว่า จากการตรวจสอบ ไอพีของเพจดังกล่าวแล้วพบว่าเป็นไอพี แบบไม่ fix (ตัวแปร) ใช้ผ่านดีเอสแอล ตามบ้านที่มีเราเตอร์ไว-ไฟ เมื่อต่ออินเตอร์เน็ตใหม่ก็จะได้ไอพีใหม่ เปลี่ยนไปเรื่อยๆ เมื่อเอาไอพี ไปตรวจสอบตำแหน่งก็จะชี้ตำแหน่งมั่วไปหมด คือ ทางเทคนิคไม่สามารถยืนยันตำแหน่งผู้ใช้งานไอพีเหล่านั้นได้อย่างถูกต้อง

ส่วนกรณีที่ไอพีดังกล่าวมาชี้ตำแหน่งบริเวณที่ตั้งกองพันสารวัตรทหาร (สห.) ตามที่อ้าง ตนสอบถาม ผบ.พัน สห.แล้วไม่เคยปรากฏว่ามีบุคคลภายนอกมาแอบแฝงพักอาศัยในพื้นที่แฟลตทหาร ซึ่งเป็นไปไม่ได้เลยที่บุคคลดังกล่าวจะกล้าเข้ามาในพื้นที่ทหาร สรุปว่าข่าวดังกล่าวไม่มีมูลความจริงทั้งด้านบุคคลและการใช้งานในหน่วยทหาร

พล.ต.ฤทธีกล่าวต่อว่า เชื่อว่าเป็นการสร้างกระแสข่าวและสร้างสถานการณ์เพื่อสอดรับกับการประกาศของกลุ่มพลเมืองต่อต้านซิงเกิ้ลเกตเวย์ ที่จะเปิดโปงข้อมูลผู้ที่ใช้ความรุนแรงต่อประชาชนที่ไม่สวมเสื้อดำ ว่าประสบผลสำเร็จในการใช้ความสามารถด้านไอทีเปิดโปงข้อมูลเป้าหมาย ซึ่งข้อเท็จจริงเป็นเรื่องลวงโลกเป็นการให้ร้ายทหาร และเป็นการไม่สมควรที่จะกระทำการเพื่อให้สังคมแตกแยกในช่วงเวลาที่ประชาชนคนไทยทั้งชาติพร้อมใจกันร่วมน้อมแสดงความไว้อาลัย

“ขอให้กลุ่มบุคคลดังกล่าวละเลิกการ กระทำดังกล่าวเพราะไม่เหมาะสมและเป็นผลดีต่อใคร หากไม่รู้จะทำอะไร แนะนำให้เอาเวลามาทำความดีถวายในหลวง ด้วยการทำหน้าที่จิตอาสาช่วยเหลือประชาชนที่เดินทางมาสักการะพระบรมศพและถวายความอาลัย ที่ท้องสนามหลวงจะเป็นประโยชน์กว่า” ผอ.ศซบ.ทบ.กล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับบุคคลที่ถูกอ้างว่าใช้พื้นที่กองพันสารวัตรทหารโพสต์ไล่ล่าคนอื่นนั้น ก็คือ ‘หรั่งเครา’ การ์ด กปปส. ที่เคยถูกออกหมายจับคดีพยายามฆ่า และโพสต์ข้อความขอเงินสนับสนุนไปฝรั่งเศส เพื่อตามล่าคนโพสต์หมิ่น

นายวัส ติงสมิตร ประธานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) กล่าวถึงกรณีเหตุการณ์ประชาชนใช้ความรุนแรงกับคนที่มีพฤติกรรมเข้าข่ายหมิ่นสถาบันว่า การกระทำดังกล่าวเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน ซึ่งประชาชนไม่มีสิทธิทำอย่างนั้น ต้องเป็นไปตามกฎหมาย ใครทำผิดก็ไปแจ้งความ หรือจะช่วยเจ้าหน้าที่จับกุมก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่จะไปด่า ไปทำร้ายเขาไม่ได้ เพราะแม้แต่เจ้าหน้าที่เองก็ยังไม่มีอำนาจทำร้ายเขา สิ่งเหล่านี้ขอให้ประชาชนช่วยระมัดระวัง เพราะการใช้อารมณ์ความรู้สึกจะทำให้เกิดปัญหาได้

ที่ จ.ภูเก็ต พ.ต.อ.วิฑูรย์ กองสุดใจ รอง ผบก.ภ.จว.ภูเก็ต เปิดเผยว่า จากกรณีชาวบ้าน จ.ภูเก็ตเข้าไปล้อมร้านน้ำเต้าหู้ดังในจังหวัด เพราะไม่พอใจที่ลูกชายเจ้าของร้านโพสต์ข้อความไม่เหมาะสม ล่าสุดรวบรวมพยานหลักฐานต่างๆ เสร็จสิ้นแล้ว และเสนอต่อศาลจังหวัดภูเก็ตพิจารณาหลักฐานต่างๆ อนุมัติออกหมายจับผู้โพสต์ดังกล่าวแล้ว ในฐานความผิดตามมาตรา 112 และความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ เมื่อวันที่ 19 ต.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งจากนี้จะเป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจในการติดตามจับกุมตัวผู้กระทำความผิดมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป รวมไปถึง ผู้กระทำความผิดอีก 1 รายในพื้นที่ อ.ถลาง ที่เข้าข่ายความผิดในลักษณะเดียวกัน ศาลจังหวัดภูเก็ตอนุมัติออกหมายจับแล้วเช่นกัน

จากนั้น บิดา มารดาของชายคนดังกล่าว ได้พาตัวมาพบพนักงานสอบสวน และพนักงานสอบสวนรับตัวแล้ว เมื่อสอบสวนปากคำเสร็จ พาไปยื่นคำร้องขออำนาจศาลจังหวัดภูเก็ตฝากขัง ศาลได้อนุญาตให้ประกันตัว

ที่ จ.สระแก้ว เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ. วัฒนานคร บุกจับชายหนุ่มอายุ 18 ปี ที่โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก ผิดตามกฎหมายอาญามาตรา 112 โดยในการตรวจค้นพบกัญชา 26 ห่อ หนัก 25.44 กรัม ซุกในบ้านพัก สอบสวนสารภาพว่าเมายาเสพติดจึงโพสต์ข้อความ ดังกล่าว

พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รอง ผบ.ตร. กล่าวว่า สำหรับกรณีการดำเนินคดีหมิ่นสถาบันเบื้องสูงตามมาตรา 112 ในช่วงที่ผ่านมา ในส่วนของตนดำเนินคดีไปแล้ว 4-5 ราย โดยพฤติการณ์ส่วนใหญ่เป็นการโพสต์ข้อความหมิ่นสถาบัน ส่วนกรณีผู้ที่อยู่ในต่างประเทศ ได้ประสานทางพนักงานอัยการคดีระหว่างประเทศแล้ว โดยขอความร่วมมือประชาชน ไม่โพสต์ข้อความหรือกระทำในลักษณะหมิ่นสถาบัน โดยหากพบว่าเข้าข่ายกระทำผิด จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมายอย่างเด็ดขาด

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน