กองทัพย้ำเหตุหัวใจวาย ป่วยไฮเปอร์เวนติเลชั่น เกร็ง-ชา-หายใจถี่-มือจีบ ครอบครัวมึน-ข้อสรุป ลั่นแจ้งความดำเนินคดี

กองทัพไทยสรุปผลสอบ “น้องเมย” เสียชีวิต คณะกรรมการแถลงระบุเกิดจากภาวะหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน ไม่พบบุคคลเกี่ยวข้อง หรือถูกลงโทษในวันเกิดเหตุ เผยผู้เสียชีวิต มีอาการไฮเปอร์เวนติเลชั่น มือจีบ เกร็ง และภาวะเครียดสูง ยอมรับถูกซ่อม 2 วันติด ทั้งยึดพื้นห้องเซานากว่า 1 ช.ม. และวิ่ง 100 เมตร กระโดดกบ 20 เมตร ต่อด้วยพุ่งหลังจนฟุบ แต่เชื่อไม่ใช่สาเหตุที่ทำให้ตาย แจงรอยฟกช้ำตามร่างหายเกิดจากตกบันได 8 ขั้น สูงเมตรครึ่ง มั่นใจวิธีธำรงวินัยมีระบบที่ดี ผิดตัวบุคคล เล็งเชิญญาติฟังคำชี้แจงวันที่ 18 ธ.ค.นี้ ด้านพี่สาวน้องเมยระบุผลสรุปเป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ ขอนิ่งเฉยไม่ไปรับผลการสอบ รอเพียงผลชันสูตรจากนิติวิทยาศาสตร์เท่านั้น เตรียมแจ้งความดำเนินคดีกับผู้ที่เกี่ยวข้องเร็วๆ นี้

เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 15 ธ.ค. ที่กองบัญชาการกองทัพไทย พล.อ.อ.ชวรัตน์ มารุ่งเรือง รองเสนาธิการทหาร กองบัญชาการกองทัพไทย ในฐานะประธานคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง การเสียชีวิตนตท.ภัคพงศ์ ตัญกาญจน์ พร้อมด้วยคณะกรรมการ ได้แก่ พล.ท.ศิราวุฒิ วงศ์ขันตี พล.อ.ท.วีรพงษ์ นิลจินดา พล.ท.พีรพงษ์ เมืองบุญชู พล.ท. ชนินทร์ โตเลี้ยง และ พ.อ.ที่รัก สร้อยนาค กรรมการและเลขานุการ ร่วมกันแถลงข่าว

พล.อ.อ.ชวรัตน์กล่าวว่า จากการตรวจสอบ ของคณะกรรมการทั้ง 11 นาย พบข้อเท็จจริงการเสียชีวิตของนตท.ภัคพงศ์ เมื่อวันที่ 17 ต.ค. โดยใช้เวลา 14 วัน ค้นหาข้อมูลทั้งหมดรอบด้านก่อนเสียชีวิต โดยเชิญผู้ที่เกี่ยวข้องในเหตุการณ์แต่ละห้วงเวลาจำนวน 42 คน มาให้ ข้อมูล แบ่งเป็น 4 กลุ่ม คือ กลุ่มที่ 1 เป็น นักเรียนเตรียมทหาร จำนวน 22 คน นักเรียนเตรียมทหารปีที่ 3 จำนวน 13 คน และนักเรียนเตรียมทหารชั้นปีที่ 1 จำนวน 9 คน

พล.อ.อ.ชวรัตน์กล่าวว่า กลุ่มที่ 2 ประกอบด้วยแพทย์ของกองแพทย์ทหารโรงเรียนเตรียมทหารจำนวน 3 คน แพทย์โรงพยาบาลโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า 1 คน และแพทย์จากศูนย์อำนวยการแพทย์พระมงกุฎ เกล้า 1 คน กลุ่มที่ 3 เป็นนายทหาร ปกครอง 4 คน อาจารย์ประจำชั้น 1 ครูพลศึกษา 2 คน และกลุ่มที่ 4 เป็นผู้ช่วยนายทหารยกกระบัตร 1 คน พลขับ รถพยาบาล 2 คน และเวรประจำวันของกองแพทย์ 3 คน พนักงานบริการและเจ้าหน้าที่โรงเรียน 2 คน

พล.อ.อ.ชวรัตน์กล่าวว่า คณะกรรมการ ได้สอบถามข้อเท็จจริงในทุกเหตุการณ์อย่างละเอียดรอบคอบเป็นไปด้วยความสมัครใจและเป็นไปตามระเบียบทางราชการ สรุปผลได้ดังต่อไปนี้ ในเหตุการณ์ที่ 1 เหตุการณ์ที่นตท.ภัคพงศ์เสียชีวิต 17 ต.ค. จากการสอบสวนพบว่าในวันดังกล่าวพักกับโรงพักรักษาตัวอยู่ที่กองแพทย์ มีเพื่อนนักเรียนเตรียมทหารชั้นปีที่ 1 พักฟื้นอยู่ในห้อง จำนวน 7 คน ในช่วงเช้าเวลาประมาณ 09.15 น. นตท.ภัคพงศ์ ได้เดินออกจากกองแพทย์ไปกับเพื่อน นักเรียนชั้นปีที่ 1 เพื่อไปเอาของใช้ส่วนตัว ที่อาคารกองพันที่ 2 ซึ่งกล้องวงจรปิด จับภาพพบว่าแต่งกายโดยชุดฝึก มือถือตะกร้าผ้า ในวันดังกล่าวเป็นการฝึกของนักเรียนเตรียม ทหารชั้นปีที่ 1 ช่วงขากลับนตท.ภคพงศ์กลับมาเพียงคนเดียว

พล.อ.อ.ชวรัตน์กล่าวว่า เวลา 10.23 น. เดินจากกองแพทย์หลังได้รับการตรวจรักษา พบเห็นนตท.ภคพงศ์วิ่งช้าๆสวนทางกลับมาทางการแพทย์ และเกิดอาการเป็นลมล้มลง มีอาการคล้ายไฮเปอร์เวนติเลชั่น คือมีอาการเกร็ง ชา หายใจถี่เร็ว จนกระทั่งออกซิเจน ในระดับปกติของเลือดเพิ่มมากยิ่งขึ้น สามารถหมดสติ สูญเสียการรู้สึกได้ และมีลักษณะ มือจีบ เด็กจะเรียกว่า โรคมือจีบ และในระยะหลังพบบ่อยในนักเรียนเตรียมทหาร ทั้งนี้ มีนักเรียนเตรียมทหารชั้นปีที่ 1 ได้ทราบอาการดี เพราะตัวเองก็เคยเป็นจึงรีบไปตามเจ้าหน้าที่จากกองแพทย์มาพานตท.ภัคพงศ์ ไปรักษาพยาบาลที่กองแพทย์จนอาการกลับเป็นปกติ และรักษาตัวอยู่ที่กองแพทย์อย่าง ต่อเนื่อง

พล.อ.อ.ชวรัตน์กล่าวว่า เวลา 12.00 น. ได้สอบถามเพื่อนที่ป่วยด้วยกัน ระบุว่า นตท.ภัคพงศ์ไปรับประทานอาหารที่ห้องอาหารกองแพทย์ตามปกติ และเวลา 12.42 น. ผู้บังคับ กองพันที่ 2 ขึ้นมาเยี่ยมและสอบถามอาการ และได้ใช้โทรศัพท์ส่วนตัวให้กับนตท. ภัคพงศ์ ได้พูดคุยกับมารดา เวลา 15.13 น. นตท.ภคพงศ์ใช้โทรศัพท์สาธารณะพูดคุย กับผู้ปกครอง และจากภาพวงจรปิดพบว่าเมื่อโทรศัพท์เสร็จขณะเดินกลับที่พัก มีการใช้มือขวากุมที่หน้าอกด้านซ้าย ก่อนจะเดินกลับห้องไปร่วมกับเพื่อนที่ป่วย ในกรณีนี้คณะกรรมการมีข้อสังเกตว่า ในช่วงบ่ายวันนั้น นตท.ภัคพงศ์ มีลักษณะการเดินการใช้มือขวากุมที่หน้าอกด้านซ้ายบ่อยครั้ง และได้พูดคุยปรับทุกข์กับเพื่อนสนิท 2 คน ซึ่งให้การว่า นตท.ภัคพงศ์ มีอาการเครียดสูง จากนั้นเวลา 15.39 น. มีนายทหารที่เป็นเจ้าหน้าที่กองแพทย์ที่มีความคุ้นเคยกับนตท.ภัคพงศ์และ ผู้ปกครอง เข้ามาในห้องพักฟื้นเพื่อนำโทรศัพท์ มือถือมาให้ได้ติดต่อกับบิดา เนื่องจากบิดาได้โทรศัพท์มาหาและไหว้วานให้นำโทรศัพท์ มาให้นตท.ภัคพงศ์

พล.อ.อ.ชวรัตน์กล่าวว่า ก่อนรับโทรศัพท์นตท.ภัคพงศ์มีอาการเซและล้มลง ในลักษณะการเกิดไฮเปอร์เวนติเลชั่น ที่มีอาการรุนแรงเกร็ง หายใจแรงและถี่ รวมถึงการพ่นน้ำลายออกมาเป็นระยะต่อหน้าเพื่อนร่วมห้องจำนวน 4 คน นายทหารคนดังกล่าวก็เห็นเหตุการณ์ และได้ตามแพทย์ให้การรักษา แพทย์เห็นว่าอาการไม่ดีขึ้นจึงสั่งให้นำส่งโรงพยาบาลโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้าในเวลา เวลา 16.24 น. โดยแพทย์ได้รักษาด้วยการทำ CPR แต่อาการไม่ดีขึ้น และขณะทำ CPR ผู้ช่วยผู้อำนวยการกองแพทย์ได้โทรศัพท์แจ้งผู้ปกครองให้ทราบ ผู้ปกครองได้ร้องขอให้ ช่วยทำ CPR ต่อเนื่องจนกว่าจะเดินทางมาถึง จึงทำให้เจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้าได้ทำ CPR อย่าง ต่อเนื่องตามคำร้องขอ และผู้ปกครองให้เดินทาง มาถึงในเวลา 19.30 น. รวมเวลาการทำ CPR จำนวน 4 ชั่วโมง ใช้เจ้าหน้าที่หมุนเวียนเกือบ 20 คน

พล.อ.อ.ชวรัตน์กล่าวว่า เวลา 20.20 น. ได้ยุติการทำ CPR และลงความเห็นนตท. ภัคพงศ์เสียชีวิต และได้ดำเนินการตามขั้นตอน ของกฎหมายโดยการแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจและผู้ปกครองได้ให้ความเห็นชอบในการชันสูตรศพโดยมอบให้เจ้าหน้าที่โรงเรียนเตรียมทหารนำส่งสถาบันพยาธิวิทยา ศูนย์อำนวยการแพทย์พระมงกุฎเกล้า ในเวลา 01.00 น. ของวันที่ 18 ต.ค. จากนั้นเป็นการดำเนินการตามขั้นตอนทางการแพทย์ในการชันสูตรหาสาเหตุ การตายที่แท้จริง

“จากการสอบสวนข้อเท็จจริงต่างๆ ไม่ปรากฏว่าตลอดทั้งวันของวันที่ 17 ต.ค. นตท.ภัคพงศ์ไม่ได้ถูกผู้หนึ่งผู้ใดสั่งลงโทษหรือถูกทำร้ายร่างกาย โดยพยานได้ให้ข้อมูลสอดคล้อง กันว่าตลอดทั้งวัน ยกเว้นช่วงที่เป็นลมในบริเวณ ทางขึ้นกองแพทย์ โดยเฉพาะในช่วงบ่ายของวันดังกล่าวสามารถพูดเดินตามปกติ เว้นแต่ มีอาการเครียดสูงภายหลังโทรศัพท์พูดคุยกับผู้ปกครองและได้หมดสติไปเองต่อหน้าพยาน ล้วนเป็นนักเรียนเตรียมทหารชั้นปีที่ 1 รุ่นเดียวกันจึงเชื่อได้ว่าในวันดังกล่าวไม่มีผู้หนึ่งผู้ใดลงโทษ หรือทำร้ายร่างกายนตท.ภคพงศ์จนเป็นเหตุให้เสียชีวิต” พล.อ.อ.ชวรัตน์กล่าว

พล.อ.อ.ชวรัตน์กล่าวว่า นอกจากนั้นในเหตุการณ์ที่ 2 จากการพบรอยฟกช้ำตาม ร่างกายนตท.ภัคพงศ์ และจากการตรวจสอบ ผู้ที่เกี่ยวข้อง ในวันที่ 10 ต.ค. เวลา 15.51 น. นตท.ภคพงศ์ เสร็จจากการเรียนพลศึกษา ภาพจากกล้องวงจรปิดจากกองพลศึกษา พบว่าวิ่งลงไปทางบันไดเพียงลำพัง และลื่นเสียหลักจากพื้นอาคารชั้น 2 ตกมายังชานพักบันได มีบันไดจำนวน 8 ขั้น ความสูงประมาณ 1.5 เมตร เพื่อนที่ได้ยินเสียง จึงเข้ามาช่วยเหลือ และมีครูพละ 2 ท่านที่อยู่ด้านล่าง เดินมาดูเหตุการณ์ด้วย

พล.อ.อ.ชวรัตน์กล่าวว่า พบนตท.ภคพงศ์ นอนตะแคงซ้าย มือกุมหน้าอก จึงรีบให้การช่วยเหลือ ด้วยการตรวจอาการบาดเจ็บบริเวณศีรษะและลำตัว พร้อมทั้งสอบถามอาการ ได้รับคำตอบว่ามีอาการจุกบริเวณหน้าอก จึงนำตัวไปส่งที่กองแพทย์ และจากการตรวจภายนอกไม่พบบาดแผล พร้อมทั้งนำส่ง โรงพยาบาลโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า เพื่อตรวจหาอาการบาดเจ็บโดยละเอียดอีกครั้ง ผลการตรวจสอบไม่พบบาดแผล พร้อมทั้งเอกซเรย์ ไม่พบว่ามีการบาดเจ็บภายใน จึงส่งตัวมามาพักฟื้นที่กองแพทย์ ข้อมูลที่คณะกรรมการ ได้จากผู้เกี่ยวข้อง และจับภาพวงจรปิด พบว่า นตท.ภัคพงศ์เสียหลัก ตกบันได ด้วยตัวเอง สาเหตุอาจเพราะเร่งรีบ เพื่อกลับกองพัน

พล.อ.อ.ชวรัตน์กล่าวว่า วันที่ 12 ต.ค. นตท.ภัคพงศ์ออกจากโรงเรียนเตรียมทหาร มาพักที่บ้าน และผู้ปกครองได้นำตัว ไปเช็ก ร่างกายซ้ำที่โรงพยาบาลเอกชน ซึ่งไม่พบสิ่งผิดปกติ และได้กลับเข้าโรงเรียนเตรียมทหารเป็นวันแรกในช่วงเย็นของวันที่ 15 ต.ค. และในคืนนั้น จากการสอบสวน ทราบว่านักเรียนบังคับบัญชา ได้ปรึกษาและเห็นว่านักเรียนยังมีวินัยไม่ดี จึงปรับปรุงวินัย ด้วยการธำรงวินัย โดยการปลุกนักเรียนมาธำรงวินัยหลังเที่ยงคืน ในห้องเซานา ซึ่งเป็นห้องกว้างขนาด 8 คูณ 8 เมตร และนำนักเรียนไปออกกำลังอยู่ในห้องดังกล่าว ซึ่งห้องเซานาหมายความว่าเมื่อนักเรียนออกกำลังกาย ความร้อนที่ออกมาจากตัวจะอยู่ภายในห้องในพื้นที่จำกัดนั้น จึงทำให้อากาศอบอ้าวมากกว่าภายนอก ในขณะนั้น นตท.ภคพงษ์ และเพื่อนอีก 2 คน แจ้งว่า มีอาการป่วย และนักเรียนบังคับบัญชาก็ได้แยกตัวทั้ง 3 คนออกมา และสั่งยึดพื้นคือยันแขนไว้กับพื้นเป็นเวลากว่าชั่วโมง

พล.อ.อ.ชวรัตน์กล่าวว่าส่วนประเด็นที่นตท.ภคพงศ์ถูกซ่อม ในวันที่ 16 ต.ค. ในช่วงเช้า เป็นการเดินแถวไปรับประทานอาหาร นักเรียนผู้บังคับบัญชาเห็นว่านักเรียนทั้งกองร้อยเดินแถวไม่เรียบร้อย จึงสั่งให้วิ่งรอบโรงอาหาร ระยะทาง 100 เมตร และในช่วงที่วิ่งมีการตัดท้ายแถว คือกลุ่มที่วิ่งช้าได้ 2 คน ซึ่งหนึ่งในนั้นมีนตท.ภคพงศ์ และสั่งให้กระโดดกบ ประมาณ 20 เมตร และสั่งเลิกพร้อมทำให้เข้าแถว เพื่อให้คำขอบคุณ แต่นตท.ภคพงศ์ แสดงอาการไม่พอใจ ไม่ขอบคุณ นักเรียนบังคับบัญชาได้นำตัวไปที่โต๊ะอาหารและให้พุ่งหลัง 1-2 นาที จนมีอาการฟุบลงไป และหายใจเร็ว ถี่ มีลักษณะมือจีบ จึงไปตามนายทหารเวร มาดูอาการ และได้มีการโทร.ตามรถพยาบาล รับตัวไปรักษา

“ขอชี้แจงว่าการขอบคุณเป็นประเพณีปฏิบัติ ของนักเรียนเตรียมทหารทุกครั้ง ผู้บังคับบัญชาหรือนักเรียนบังคับบัญชา สั่งให้ทำสิ่งใด ก็จะเป็นคำขอบคุณที่ติดปากนักเรียน และการพุ่งหลัง เป็นท่าที่อนุญาตให้ใช้ และระยะเวลาที่ลงโทษไม่น่าจะทำให้เกิดการปฏิบัติที่เกินกำลัง รวมถึงการยึดพื้นเมื่อวันที่ 15 ต.ค. คณะกรรมการเชื่อว่าไม่น่าจะเป็นสาเหตุทำให้เกิดอาการต่อเนื่องจนทำให้เสียชีวิต” พล.อ.อ. ชวรัตน์กล่าวว่า

พล.อ.อ.ชวรัตน์กล่าวว่า จากพยานหลักฐาน ที่คณะกรรมการได้ทั้ง 2 เหตุการณ์ โดยเฉพาะจากคำให้การของเพื่อน ที่อยู่ในเหตุการณ์รวมถึงภาพวงจรปิด จึงสรุปได้ว่า การเสียชีวิตของนตท.ภัคพงศ์ ไม่มีผู้หนึ่งผู้ใดสั่งลงโทษ หรือทำร้าย ซึ่งอาจจะเป็นเหตุให้เกิดการเสียชีวิต และจากการตรวจของสถาบันพยาธิวิทยา ศูนย์อำนวยการแพทย์พระมงกุฎเกล้า สรุปภาพรวมได้ว่า ไม่พบร่องรอยการฟกช้ำภายนอก ส่วนกรณีชายโครงด้านขวาซี่ที่ 4 หักนั้น แพทย์ไม่ได้ตัดประเด็นการทำ CPR ที่ต้องใช้แรงกดกึ่งกระแทก นานถึง 4 ชั่วโมง และพบเซลล์กล้ามเนื้อหัวใจบางส่วนมีขนาดผิดปกติ ซึ่งจะไม่พบในคนอายุประมาณ 18 ปี จึงสรุปสาเหตุการเสียชีวิตของนตท.ภคพงศ์ว่า เกิดจาก หัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน

พล.อ.อ.ชวรัตน์กล่าวว่า ยืนยันว่าหลักสูตรของโรงเรียนเตรียมทหารเป็นมาตรฐานของโรงเรียนทหารทั่วไป ซึ่งต่อไปอาจจะปรับปรุงในเรื่องของความเข้มงวดในการรับเด็กเข้ามา ศึกษาในโรงเรียนเตรียมทหารต่อไปในอนาคต พร้อมเพ่งเล็งโรคที่ไม่เคยปรากฏ โดยการเฝ้าระวังป้องกันให้มากขึ้น การตรวจคัดกรอง จะต้องมีมาตรฐานที่สูงขึ้น การตรวจรักษาหลังจากเข้าไปเป็นนักเรียนเตรียมทหาร ต้องกำหนดให้มีระยะเวลาที่เหมาะสม

พล.อ.อ.ชวรัตน์ยืนยันว่าระบบของการธำรงวินัย หรือการปรับปรุงวินัยของโรงเรียนเตรียมทหารยังดีอยู่ แต่มีข้อผิดพลาดหรือปัญหาที่เกิดขึ้นมาจากตัวบุคคล เช่นกรณี วันที่ 15 ต.ค. ระเบียบได้กำหนดเอาไว้ว่าห้าม แต่มีการฝ่าฝืนและเมื่อมีการฝ่าฝืน ทางโรงเรียน เตรียมทหารไม่ได้ละเลย ได้แต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบว่า มีการตัดคะแนน ความประพฤติของนักเรียนผู้บังคับบัญชา ที่ดำเนินการไปทั้งหมด จำนวน 4 คน และปลดออกจากการเป็นนักเรียนผู้บังคับบัญชา ซึ่งถือเป็นเรื่องที่เสื่อมเกียรติ ถือเป็นการลงโทษ ที่ค่อนข้างรุนแรง ส่วนท่าปักหัวนั้น ไม่มีในระบบ และถูกห้ามนำมาธำรงวินัย แต่ก็ยังมีการฝ่าฝืน

พล.อ.อ.ชวรัตน์ชี้แจงเพิ่มเติมว่า สาเหตุที่ไม่เชิญผู้ปกครอง ของนตท.ภัคพงศ์มาฟัง การแถลงข่าวในวันนี้ แต่ให้มาฟังในวันที่ 18 ธ.ค. แทน เนื่องจากไม่อยากให้เกิดบรรยากาศการตอบโต้ในข้อมูล เพราะเราไม่ใช่คู่ขัดแย้ง หรือคู่กรณีต่อการเสียชีวิต ส่วนผู้ปกครองตอบรับหรือไม่นั้นยังไม่ทราบ

ด้านน.ส.สุพิชชา หรือเมี่ยง ตัญกาญจน์ พี่สาวของนตท.ภัคพงศ์เปิดเผยว่า หลังจากคณะกรรมการที่กองบัญชาการกองทัพไทยได้แถลงการสอบสวนสรุปว่าน้องเมยไม่ได้ถูกซ้อมจนเสียชีวิต ส่วนรอยฟกซ้ำที่เกิดขึ้นเกิดจากน้องเมยเสียหลังหล่นบันไดด้วยตัวเองนั้น ตนไม่ขอตอบโต้ใดๆ ทั้งสิ้น สิ่งที่กองทัพไทยได้แถลงไปไม่ใช่เรื่องใหม่เลย ตนและครอบครัว รู้อยู่แล้วว่าต้องออกมาแถลงในลักษณะแบบนี้ และจะขอนิ่งเฉยต่อคำแถลงดังกล่าว แต่ทางครอบครัวจะรอผลตรวจนิติวิทยาศาสตร์อย่างสมบูรณ์เพียงอย่างเดียวเท่านั้น เพราะมีความน่าเชื่อถือกว่า แม้จะใช้เวลารอนานถึงเกือบ 2 เดือนก็ตาม ส่วนในวันที่ 18 ธ.ค. ที่กองทัพไทยได้นัดให้ไปรับผลการสอบสวนนั้น ทางครอบครัวได้แจ้งไปแล้วว่าไม่สะดวกไป ส่วนเรื่องการเข้าแจ้งความเอาผิดกับผู้เกี่ยวข้อง ที่สภ.เมืองนครนายกนั้น ครอบครัวเตรียมเข้าแจ้งความเร็วๆ นี้

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน