ตร.ลุยค้นบ้าน “เปรมชัย” บิ๊กอิตาเลียนไทยฯ คดีล่าสัตว์ป่าทุ่งใหญ่ ยึดปืน 43 กระบอก ทั้งปืนสั้น ลูกซอง ไรเฟิลติดกล้อง กระสุนอีกเพียบกว่า 1,600 นัด เจองาช้างอีก 4 กิ่ง ส่งตรวจพิสูจน์ ภรรยาเผยเป็นคนรักธรรมชาติ หลังได้ประกันตัวก็ติดต่อไม่ได้ ไม่รู้อยู่ไหน “ศรีวราห์” ชี้พฤติกรรมชัดเจนชอบล่าสัตว์ พร้อมค้นบ้านอีก 3 ผู้ต้องหาร่วมทีม ที่บ้านโป่ง เมืองกาญจน์ โคราช พฐ.ตรวจซากไก่ฟ้า เสือดำ พบหลักฐานรูกระสุนปืน ด้านชาวเน็ตเปิดแคมเปญ “บอยคอตอิตาเลียนไทย”

รถลุยป่า – รถยนต์โตโยต้ายกสูงคันที่นายเปรมชัย กรรณสูต ประธานอิตาเลียนไทย ใช้เป็นพาหนะเดินทางเข้าไปภายในป่าทุ่งใหญ่นเรศวร ก่อนถูกจับกุมพร้อมซากสัตว์และอาวุธปืนจำนวนมาก เจ้าหน้าที่นำออกมาตรวจสอบประกอบคดีที่ จ.กาญจนบุรี

ค้นบ้าน”เปรมชัย”คดีล่าสัตว์

จากกรณีเจ้าหน้าที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร ฝั่งตะวันตก อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี จับกุมนายเปรมชัย กรรณสูต ประธานบริหารบริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) บริษัทยักษ์ใหญ่ก่อสร้าง พร้อมพวกรวม 4 คน ตั้งแคมป์ในพื้นที่หวงห้ามกลางป่าทุ่งใหญ่ฯ ป่ามรดกโลกทางธรรมชาติ ตรวจค้นพบซากเสือดำ เก้ง และไก่ฟ้า พร้อมอาวุธปืนไรเฟิลติดกล้อง ดำเนินคดี 9 ข้อหา ตาม พ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า และพ.ร.บ.อาวุธปืนฯ สอบสวนนายเปรมชัยให้การปฏิเสธ และศาลให้ประกันตัวในวงเงิน 150,000 บาท เหตุเกิดเมื่อวันที่ 6 ก.พ. ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น

ความคืบหน้าเรื่องนี้ เมื่อเวลา 11.30 น. วันที่ 7 ก.พ. ตำรวจ บก.ปราบปรามการ กระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ปทส.) ตำรวจ บช.ภาค 7 และเจ้าหน้าที่กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช นำหมายค้นจากศาลเข้าตรวจค้นบ้านนายเปรมชัย กรรณสูต ผู้ต้องหาคดีล่าสัตว์ป่า ตั้งอยู่ภายในซอยศูนย์วิจัย 3 แขวงบางกะปิ เขตห้วยขวาง กทม.

เจอไรเฟิล 5 กระบอก-งาช้าง

เจ้าหน้าที่กดกริ่ง 2-3 ครั้ง มีคนในบ้านเดินออกมาดู แต่ไม่ออกมาเปิดประตู เจ้าหน้าที่จึงพูดผ่านเครื่องขยายเสียงแจ้งวัตถุประสงค์ขอเข้าตรวจค้น ผ่านไป 10-20 นาที คนในบ้านออกมาพูดว่าจะไม่ขัดหมายศาล จะให้ความร่วมมืออย่างดี แต่ขอให้ทนายความมาถึงก่อน เมื่อทนายมาถึง จึงเปิดประตูให้ตำรวจเข้าตรวจค้นบ้านทั้งหมด 3 หลัง คือบ้านเลขที่ 12/1 บ้านเลขที่ 12/2 และบ้านเลขที่ 12/3 อยู่ภายในรั้วบ้านเดียวกัน

ภายหลังการตรวจค้นนานกว่า 3 ชั่วโมง พ.ต.อ.สุวัฒน์ อินทสิทธิ์ รองผบก.ปทส. กล่าวว่าพบอาวุธปืนยาวลูกซอง ปืนสั้นขนาด 9 ม.ม. และปืนไรเฟิลติดกล้อง มากกว่า 5 กระบอก ถูกเก็บไว้ในตู้ บริเวณห้องข้างห้องนอนนายเปรมชัย และพบงาช้าง 2 คู่ 4 กิ่ง สูงประมาณ 1 เมตร จากการตรวจสอบปืนและงาช้างมีใบอนุญาตให้ครอบครองถูกต้องตามกฎหมาย คาดว่าเป็นงาช้างไทย โดยภรรยานายเปรมชัยระบุว่าปืนเป็นของนายเปรมชัยกับลูกชาย ส่วนงาช้างเป็นของนายเปรมชัย เจ้าหน้าที่จะนำอาวุธปืนไปตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้ง และพบรถยนต์ยกสูง

เมียเผยเป็นคนรักธรรมชาติ

พ.ต.อ.สุวัฒน์กล่าวต่อว่านอกจากนี้ยังพบถุงดำขนาดใหญ่ ตรวจสอบแล้วเป็นขยะทั่วไป ไม่พบร่องรอยขนย้าย หรือทิ้งสิ่งของ และไม่พบสิ่งผิดปกติ หรือผิดกฎหมาย รวมไปถึงอุปกรณ์เดินป่าด้วย และระหว่างตรวจค้นไม่พบนายเปรมชัย พบเพียงภรรยา เป็นคนนำเจ้าหน้าที่ไปตรวจค้นภายในบริเวณบ้าน โดยระหว่างตรวจค้น ได้สอบถามภรรยานาย เปรมชัยระบุว่า นายเปรมชัยเป็นคนรักธรรมชาติ หลังจากที่นายเปรมชัยได้ประกันตัวออกมา ก็ไม่สามารถติดต่อนายเปรมชัยได้ และไม่ทราบว่าอยู่ที่ไหน

ต่อมาเจ้าหน้าที่ตรวจค้นบ้านเลขที่ 12/1 และบ้านเลขที่ 12/3 เนื่องจากบ้านทั้ง 2 หลัง เป็นพี่น้องนายเปรมชัย ที่อาศัยอยู่ติดกัน เจ้าหน้าที่จึงตรวจสอบความเชื่อมโยงเท่านั้น และจากการตรวจสอบไม่พบสิ่งผิดปกติ หรือสิ่งที่เป็นเหตุเชื่อมโยงได้ จากนั้นเจ้าหน้าที่นำอาวุธปืนส่งให้เจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐานไปตรวจสอบ รวมถึงงาช้างส่งให้ตำรวจ ปทส. ไปตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้ง

ลุยค้นบ้านผู้ต้องหาร่วมทีม

ขณะเดียวกัน ตำรวจอีกชุดกระจายกำลังเข้าตรวจค้นบ้านพักอีก 3 ผู้ต้องหาที่ร่วมตั้งแคมป์กับนายเปรมชัย เริ่มที่ศาลจังหวัดกาญจนบุรีอนุมัติหมายค้นบ้านเลขที่ 47 บ้านโป่งปัด หมู่ 3 ต.ช่องสะเดา อ.เมือง จ.กาญจนบุรี ของนายธานี ทุมมาศ อายุ 56 ปี หนึ่งในผู้ต้องหา เป็นบ้านปูนชั้นเดียว สภาพค่อนข้างทรุดโทรม พบนายวิเชียร เอกชะอุ่ม อายุ 79 ปี อยู่บ้านเลขที่ 87 หมู่ 3 ต.ช่องสะเดา แต่จากการตรวจค้นภายในบ้านและพื้นที่โดยรอบ ไม่พบสิ่งผิดกฎหมายแต่อย่างใด

จากการสอบถามนายวิเชียรระบุว่าเป็นพ่อตาของนายธานี ลูกเขยกับภรรยา เป็นลูกสาวของตนไปค้าขายอาหารอยู่ในตลาดคลองเตย กทม. พักอาศัยอยู่ อ.บางกรวย จ.นนทบุรี นาน 2-3 เดือน ลูกเขยกับลูกสาวจะเดินทางกลับมาเยี่ยมบ้านสักครั้งหนึ่ง เจ้าหน้าที่จดทำบันทึกข้อมูล เพื่อรายงานผู้บังคับบัญชาทราบต่อไป

บ้านคนขับรถ-ที่บ้านโป่ง

ส่วน ตำรวจ บช.ภาค 7 และ สภ.บ้านโป่ง จ.ราชบุรี นำหมายศาลเข้าตรวจค้นบ้านเลขที่ 84 บ้านมะขาม ต.คุ้งพยอม อ.บ้านโป่ง จ.ราชบุรี ของนายยงค์ โดดเครือ อายุ 65 ปี หนึ่งในผู้ต้องหา เป็นบ้านปูนชั้นเดียวสไตล์โมเดิร์น รั้วรอบขอบชิด เลี้ยงสุนัขไว้ 10 ตัวเฝ้าบ้าน ผลตรวจค้นไม่พบอาวุธปืน ซากสัตว์ และสิ่งผิดกฎหมายแต่อย่างใด

จากการสอบถามชาวบ้านละแวกใกล้เคียงระบุว่า นายยงค์เป็นคนพื้นเพบ้านมะขาม ไปใช้ชีวิตอยู่ที่กรุงเทพฯ ตั้งแต่เป็นวัยรุ่น นานๆ จะกลับบ้าน ทราบแต่เพียงว่านายยงค์ขับรถให้กับนายเปรมชัย มานานกว่า 30 ปี โดยเมื่อปี 2554 หลังเกิดเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ นายยงค์ซื้อที่ดินจากญาติ แล้วปลูกบ้าน มีภรรยานายยงค์เป็นผู้ดูแลบ้านเพียงคนเดียวเท่านั้น ส่วนวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ นายยงค์และลูกๆ จึงจะกลับมาบ้าน

อีกจุดโคราช-บ้านลูกจ้างสาว

ขณะที่ ตำรวจปทส. และ บช.ภาค 3 นำหมายศาลเข้าตรวจค้นบ้านเลขที่ 102 บ้านวังม่วง หมู่ 1 ต.ทุ่งสว่าง อ.ประทาย จ.นครราชสีมา ของนางนที เรียมแสน อายุ 43 ปี หนึ่งในผู้ต้องหา เป็นบ้านปูนชั้นเดียว พบนายวิศิษฐ์ แก้วข้อนอก อายุ 71 ปี และนางแจ้ แก้วข้อนอก อายุ 66 ปี พ่อแม่ผู้ต้องหา ผลตรวจค้นไม่พบสิ่งผิดกฎหมายแต่อย่งใด

จากการสอบถามนายวิศิษฐ์ พ่อนางนที ระบุว่าลูกสาวไปกรุงเทพฯ และเป็นลูกจ้างบริษัทอิตาเลียนไทยฯ ไม่ติดต่อกลับมาบ้านนานกว่า 3 ปีแล้ว ส่วนเรื่องคดีนี้ทางครอบครัวไม่ทราบ เพิ่งมาทราบข่าวอีกทีก็ตอนที่ญาติๆ มาเล่าให้ฟังว่า ลูกสาวถูกจับแล้ว ก่อนหน้านี้ลูกสาวไม่ใช่คนชอบล่าสัตว์ หรือชอบกินเนื้อสัตว์ป่า จึงไม่เชื่อว่าลูกสาวจะร่วมกันออกไปล่าสัตว์ป่า

“บิ๊กอวบ”สั่งตรวจปืน-ลายนิ้วมือ

ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.เฉลิมเกียรติ ศรีวรขาน รองผบ.ตร. กล่าวมอบหมายให้ พล.ต.ท.กิตติพงษ์ เงามุข ผบช.ภาค 7 และ พล.ต.ท.วีรพงศ์ ชื่นภักดี ผู้ช่วยผบ.ตร. กำกับดูแลงานด้านทรัพยากรธรรมชาติและ สิ่งแวดล้อม ลงไปควบคุมดูแลด้วยตนเอง ดำเนินการให้โปร่งใส ให้ความเป็นธรรมทุกฝ่าย ไม่กังวลถึงแม้ผู้ต้องหาจะเป็นคนที่มีชื่อเสียง ถ้าผิดก็ต้องดำเนินคดี ยืนยันไม่มีใบสั่ง หรือสัญญาณจากใครให้ช่วยเหลือนายเปรมชัย

รองผบ.ตร.กล่าวว่าขณะนี้กองพิสูจน์หลักฐานกำลังตรวจสอบหลักฐานในที่เกิดเหตุ โดยเฉพาะอาวุธปืน กำลังตรวจลายนิ้วมือ ถึงแม้ ผู้ต้องหาจะให้การปฏิเสธ แต่ในการทางคดีจะพิจารณาจากพยาน และหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์เป็นหลัก อยู่ระหว่างตรวจสอบว่าปืนเป็นของใคร ใครเกี่ยวข้องก็ต้องดำเนินการ ไม่ต้องห่วงตรวจสอบได้อยู่แล้ว หลักฐานก็ปรากฏชัด ทั้งซากสัตว์ อาวุธปืน ต้องเร่งรวบรวมสรุปสำนวนส่งให้อัยการพิจารณา และสั่งให้พนักงานสอบสวนตรวจสอบว่ามีเจ้าหน้าที่คนใดนำพาเข้าไปในป่าหรือไม่

หน.ชุดจับกุม-ไม่กลัวถูกย้าย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะนี้ประชาชนส่วนใหญ่มีความกังวลว่า การจับกุมนายเปรมชัยถือเป็นเรื่องใหญ่ และอาจส่งผลกระทบต่อเจ้าหน้าที่ชุดจับกุม โดยเฉพาะนายวิเชียร ชิณวงษ์ หัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร ฝั่งตะวันตก หัวหน้าชุดจับกุม จากกรณีดังกล่าว นายวิเชียรกล่าวว่าไม่กลัวการถูกย้าย มาทำงานเพื่อปกป้องป่า แค่ทำตามหน้าที่รับผิดชอบ ตรงไปตรงมาโดยชอบธรรม

“ไม่มีอะไรต้องกังวล วันข้างหน้าจะมีอะไรไหมก็ไม่มีใครตอบได้ เพราะการรักษาทรัพยากรป่าไม้ เป็นเรื่องที่ต้องกระทบผลประโยชน์ของใครบางคน ถ้าเจ้าหน้าที่ท้อถอยถอดใจ ทรัพยากรป่าไม้จะเหลืออยู่ไม่เท่าไหร่ ในส่วนของผมและเจ้าหน้าที่ทุกนายก็พร้อมเสมอที่จะทำหน้าที่นี้อย่างเต็มความสามารถ” หัวหน้าเขตฯทุ่งใหญ่ฯ กล่าว

จนท.เห็นจะจะเล็งปืนยิงสัตว์

นายวิเชียรกล่าวถึงเบื้องหลังจับกุมด้วยว่า เมื่อวันที่ 4 ก.พ. เวลา 13.00 น. ตรวจพบกลุ่มบุคคลเข้าไปกางเต็นท์พักแรมในเส้นทางศึกษาธรรมชาติ แต่การพักค้างแรมจะต้องพักอยู่ที่ทำการจุดพิทักษ์ป่าเท่านั้น จะออกไปกางเต็นท์พักผ่อนตามอัธยาศัยไม่ได้โดยเด็ดขาด เจ้าหน้าที่จึงเข้าไปพูดคุยแนะนำ แต่ไม่ได้รับความร่วมมือ ชุดลาดตระเวนจึงวิทยุแจ้งมาที่หัวหน้าหน่วยรับทราบ และรายงานมายังตน จึงสั่งการให้รองหัวหน้าเขตฯ เข้าไปพูดคุย แต่ก็ไม่ได้รับความร่วมมือเช่นเดิม

หัวหน้าเขตฯ ทุ่งใหญ่ฯ กล่าวว่าเจ้าหน้าที่จึงเดินตรวจสอบพื้นที่โดยรอบบริเวณจุดกางเต็นท์ ระหว่างนั้นมีเสียงปืน จึงรีบเข้าไปตรวจสอบ พบผู้ชายหนึ่งคนกำลังเล็งปืนไปที่สัตว์ป่าที่หากินบนยอดไม้ เจ้าหน้าที่จึงรีบแจ้งให้หยุด และควบคุมตัวมารวมกับกลุ่มชายที่กางเต็นท์ ระหว่างทางเดินเจ้าหน้าที่พบปลอกกระสุนปืนลูกซองเบอร์ 20 พบเศษชิ้นเนื้อคล้ายกับเครื่องในสัตว์กองอยู่พร้อมกับถุงใส่เกลือหล่นอยู่ 2 ห่อ เจ้าหน้าที่เอะใจ เพราะตามปกติแล้วเกลือไม่น่าจะมาตกหล่นอยู่ในป่า

ไม่ได้มาศึกษาธรรมชาติแน่นอน

นายวิเชียรกล่าวต่อว่าเจ้าหน้าที่จึงสันนิษฐานว่ากลุ่มบุคคลดังกล่าวน่าจะล่าสัตว์ป่า เมื่อนำตัวชายมาถึงเต็นท์ เจ้าหน้าที่จึงขอความร่วมมือจากทุกคนให้เปิดกระเป๋า รวมทั้งกระติกน้ำแข็ง พบซากไก่ฟ้าหลังเทา และเนื้อหมูป่าแช่ถังน้ำแข็ง จึงแจ้งเตือนให้เจ้าหน้าที่ทราบว่าเหตุการณ์เริ่มไม่เป็นปกติแล้ว ก่อนพยายามค้นหาสิ่งเทียมประเภทอาวุธปืนว่าซุกซ่อนไว้ตรงไหนบ้าง เริ่มจากค้นตัวผู้ชายที่ถูกจับได้ครั้งแรกพร้อมอาวุธปืน พบกระสุนปืนลูกซอง 2 นัด เข็มขัดบรรจุกระสุนปืนขนาด .22 คาดเอวอีกกว่า 50 นัด จึงยิ่งเชื่อว่าไม่ได้มาท่องเที่ยวศึกษาเส้นทางธรรมชาติ หรือมาพักผ่อนแน่นอน

หัวหน้าเขตฯ ทุ่งใหญ่ฯ กล่าวว่าเจ้าหน้าที่แบ่งกำลังค้นหาสิ่งผิดกฎหมาย จนกระทั่งพบอาวุธปืนไรเฟิล ปืนลูกซอง แต่ด้วยช่วงนั้นดึกและมืดแล้ว จึงเป็นอุปสรรค เจ้าหน้าที่ทำงานค่อนข้างลำบาก จึงเชิญตัวทั้ง 4 คน มาที่สำนักงานเขตฯ เพื่อสอบถามข้อมูลนำมาประกอบการดำเนินคดี จนกระทั่งเวลา 02.00 น. วันที่ 5 ก.พ. เจ้าหน้าที่ไปตรวจหาสิ่งผิดกฎหมายเพิ่มเติมที่จุดกางเต็นท์ พบถุงดำ เปิดออกมาดูพบซากหนังเสือดำ ห่างไป 5 เมตร พบกระสุนปืนในกระเป๋ามีใบไม้ทับไว้ พบถุงอีกใบมีเนื้อเสือดำ

มีพรานมืออาชีพพายิงเสือดำ

“ระหว่างจับกุมนั้นไม่คิดมาก่อนว่าจะเป็นผู้บริหารบริษัทใหญ่โตมีชื่อเสียง ป่าทุ่งใหญ่ก็เป็นมรดกโลก จึงไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะมาเจอคนที่มีชื่อเสียง แต่เมื่อจับกุมตัวมาแล้วก็ไม่ได้วิตก หรือเกรงกลัวกลุ่มใดเข้ามากดดัน หรือแทรกแซงการทำงาน ส่วนตัวแล้วไม่ได้หวั่นไหว เชื่อว่าเจ้าหน้าที่และทีมงานทุกคนก็ต้องการที่จะอยากเห็นภาพนี้ ภาพที่เกิดขึ้น และการทำงานรักษาป่า อย่างน้อยเจ้าหน้าที่ไม่ได้จับกุมเฉพาะชาวบ้านเท่านั้น แต่คนที่มีความพร้อม หรือมีฐานะทางการเงินที่ดี เมื่อพลาดเข้ามากระทำผิด เมื่อถูกเจ้าหน้าที่จับกุม การปฏิบัติก็ต้องเท่าเทียมกันกับชาวบ้าน หรือประชาชนทุกคน” นายวิเชียรกล่าว

รายงานข่าวจากกรมอุทยานฯ เปิดเผยว่าการจะเข้าไปยิงเสือดำในป่าลึกนั้น ต้องมีพรานมืออาชีพ หรือชาวบ้านในพื้นที่ที่รู้จักเส้นทาง และทราบจุดที่เสือดำมักปรากฏตัวอยู่ในบริเวณนั้นเป็นอย่างดี เป็นคนนำทาง หรือชี้จุดให้เข้าไปล่า โดยไม่ต้องเสียเวลารอในป่านานหลายวัน เพราะตามธรรมชาติแล้ว สัตว์ป่าบางชนิด เช่น เสือพันธุ์ต่างๆ เป็นสัตว์ที่อยู่ในป่าลึก มีความสลับซับซ้อน ไม่ได้เดินป่าแล้วพบเจอกันได้ง่ายๆ แม้แต่เจ้าหน้าที่ที่เดินลาดตระเวนในพื้นที่ป่า อาจต้องใช้เวลาหลายวันถึงจะเจอเสือ

ผู้เชี่ยวชาญชี้เป็นลูกเสือดำ

นายสมโภชน์ ดวงจันทราศิริ หัวหน้าสถานีวิจัยสัตว์ป่าเขานางรำ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง นักวิชาการผู้เชี่ยวชาญเรื่องเสือ กล่าวถึงเรื่องซากเสือดำว่า จากขนาดที่เห็นในข่าวน่าว่าเป็นลูกเสือดำ ไม่น่าใช่เสือตัวเต็มวัย เสือดาวที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ป่าทุ่งใหญ่ฯ ฝั่งตะวันตกนั้นมีประมาณ 100-130 ตัว เสือดาว และเสือดำเป็นสัตว์ชนิดเดียวกัน ทั้ง 2 ชนิดผสมพันธุ์กันได้ ลูกเสือ 1 ครอก จะเป็นลูกเสือดาว 2 ตัว ลูกเสือดำ 1 ตัว เสือดำในป่าทุ่งใหญ่ฯ จะมีประมาณ 20 เปอร์เซ็นต์ ของปริมาณเสือดาวทั้งหมด

ผู้สื่อข่าวถามว่าการยิงล่าเสือดำ ต้องเตรียมอย่างไร และทำอะไรบ้าง นายสมโภชน์กล่าวว่าไม่ได้อยู่ในวงการล่า ไม่รู้เรื่องเหล่านี้เลย แต่จากกรณีนี้ไม่น่าจะเจาะจงว่าจะต้องยิงเสือ หรือยิงอะไร แต่เห็นอะไรคงจะยิงหมด และบังเอิญว่าลูกเสือดำตัวนี้คงจะเคราะห์ร้ายผ่านมาพอดีจึงโดนยิง

อดีตขรก.ติดต่อเข้าป่าทุ่งใหญ่

รายงานข่าวแจ้งอีกว่า ถึงจุดเริ่มต้นของการเข้าพื้นที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่ฯ ของคณะนายเปรมชัย เริ่มต้นจากมีอดีตข้าราชการของกรมอุทยานแห่งชาติฯ ระดับผู้อำนวยการสำนักคนหนึ่งที่เกษียณอายุราชการไปแล้ว และไปเป็นที่ปรึกษาอยู่ที่บริษัทอิตาเลียนไทยฯ โทรศัพท์มาประสานกับ น.ส.กาญจนา นิตยะ ผอ.สำนักอนุรักษ์สัตว์ป่า ก่อน น.ส.กาญจนาประสานไปยังหัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่ฯ จนกระทั่งพบว่าไปอยู่ในจุดหวงห้ามและถูกจับกุม

น.ส.กาญจนากล่าวว่าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าไม่เคยกีดกันให้ใครเข้ามา เพราะเป็นพื้นที่ที่เปิดโอกาสให้เข้ามาศึกษาธรรมชาติ การบอกให้เจ้าหน้าที่ช่วยดูแลไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ไม่ได้หมายความว่าคณะที่เข้าไปจะทำอะไรที่ไม่ถูกต้องก็ได้ เพราะมิฉะนั้นแล้วคงไม่ถูกจับกุม การขออนุญาตเข้าไปศึกษาธรรมชาติ พักกางเต็นท์ ต้องได้รับอนุญาตจาก ผอ.สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่เกี่ยวข้อง ในกรณีนี้คือ ผอ.สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 3 (บ้านโป่ง) และการขออนุญาตเข้าไปพื้นที่แบบไปเช้าเย็นกลับ สามารถขออนุญาตหัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่านั้นๆ ได้เลย

แต่ยื่นขออนุญาตไม่ถูกต้อง

นายธรรมรัฐ วงศ์โสภา รักษาการ ผอ.สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 3 (บ้านโป่ง) กล่าวว่าการเข้าพื้นที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่ฯ จะต้องยื่นเรื่องขออนุญาตที่สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 3 (บ้านโป่ง) กรณีนายเปรมชัยยื่นขออนุญาตไม่ถูกต้อง เพราะขาดเอกสารหลายอย่าง ดังนั้นจึงไม่ได้เซ็นอนุญาตให้เข้าแต่อย่างใด ก็ชัดเจนอยู่แล้ว และบุคคลใดได้รับอนุญาต จะต้องเดินทางไปในเส้นทางที่ถูกต้อง ตามที่เขตรักษาพันธุ์ทุ่งใหญ่ฯ กำหนดไว้

ส่วนจะลักลอบเข้าไปด้วยตนเองหรือไม่ นายธรรมรัฐกล่าวว่าจะต้องพิสูจน์ทราบอีกครั้งหนึ่งว่าเข้ามาตามเส้นทางที่มีด่านตรวจอย่างถูกต้องหรือไม่ เป็นเรื่องที่ต้องขยายความจากการจับกุม ว่ากลุ่มนายเปรมชัยเข้าไปในช่องทางที่ได้รับอนุญาตหรือไม่ อย่างไร ทั้งนี้ ต้องดำเนินการในส่วนคดีล่าสัตว์ป่าก่อนเป็นอันดับแรก ส่วนกรณีเข้าไปในพื้นที่ถูกต้องหรือไม่ จะตรวจสอบภายหลัง และจนถึงขณะนี้ยังไม่ได้คุยกับกลุ่มผู้ต้องหา

“บิ๊กฉัตร”ลั่นให้ยึดกฎหมาย

วันเดียวกัน ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่าต้องดำเนินการตามกฎหมาย โดยกระทรวงทรัพยากร ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมแจ้งความไปแล้ว ส่วนที่สังคมเป็นห่วงว่าจะเกิดกรณีให้คนอื่นมารับผิดแทนนั้น อย่าเพิ่งมองไปถึงจุดนั้น นายกฯ ยืนยันแล้วว่าให้ดำเนินการตามกฎหมาย และไม่น่าจะกระทบต่อเจ้าหน้าที่ชุดจับกุม เพราะทำตามหน้าที่ ต้องให้กำลังใจเขาด้วยซ้ำ และต้องชื่นชมที่เขาปฏิบัติงานอย่างถูกต้อง

ต่อข้อถามว่าสังคมเป็นห่วงเรื่องจะเงียบหาย เพราะบริษัทอิตาเลียนไทยฯ กำลังก่อสร้างทางลอดให้สัตว์เดิน พล.อ.ฉัตรชัยกล่าวว่าไม่น่าจะเป็นอย่างนั้น เพราะบริษัทอิตาเลียนไทยฯ เป็นบริษัทหนึ่งที่ก่อสร้างให้กรมอุทยานแห่งชาติฯ ถือเป็นอาชีพของเขาที่ประมูลงานได้ ถือเป็นบริษัทใหญ่ที่ไม่ได้ก่อสร้างเฉพาะในประเทศเท่านั้น แต่โด่งดังไปถึงต่างประเทศด้วย นายกฯ พูดแล้วว่าเป็นไปตามกฎหมาย คงไม่มีใครไปช่วยได้ และอย่าเพิ่งไปคาดการณ์อะไร

“วิษณุ”ชี้ไม่กระทบสัมปทานรัฐ

ส่วนนายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ กล่าวถึงเรื่องเดียวกันว่าคงต้องแยกกันระหว่างการประมูลงานโดยนิติบุคคลที่มีผู้ถือหุ้น กับการ กระทำผิดส่วนบุคคล หากจะส่งผลกระทบ ก็น่าจะเป็นลักษณะเรื่องตัวบุคคล กระทบต่อชื่อเสียงเกียรติภูมิของนิติบุคคลนั้นๆ อย่าเพิ่งเชื่อมโยงประเด็นไปไกลถึงขั้นการเข้าร่วมประมูลงานถ้ากระทบแล้วพบว่าบุคคลนั้นเป็นซีอีโอของบริษัท ก็เปลี่ยนตัวซีอีโอ แต่หากเปลี่ยนแล้ว บริษัทยังไม่มีความน่าเชื่อถือ ก็ค่อยว่ากันต่อไป วันนี้สายตาของคนทั้งประเทศและทั่วโลกจับตาดูอยู่แล้ว จึงไม่มีอะไรที่ต้องกังวล

นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ กล่าวว่ายืนยันว่าไม่ส่งผลกระทบกับการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ ทั้ง โครงการรถไฟฟ้า โครงการทางหลวงแผ่นดิน หรือมอเตอร์เวย์ ที่บริษัทอิตาเลียนไทยฯ อยู่ระหว่างดำเนินการ มองว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นประเด็นส่วนบุคคล ไม่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานของบริษัท และไม่น่าจะมีผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน ไม่มีผลกระทบต่อบรรยากาศการลงทุนด้วย เพราะเรื่องนี้เกิดขึ้นกับตัวผู้บริหารคนเดียว ไม่ได้กระทบภาพรวมของบริษัท จึงไม่น่าจะมีปัญหา

เรื่องบุคคล-ไม่เกี่ยวบริษัท

ขณะที่ นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รมว.คลัง กล่าวว่าไม่เกี่ยวกับการบริหารงานของบริษัท เป็นเรื่องบุคคลมากกว่า หากพบว่าเป็นความผิดจริง บุคคลนั้นก็ต้องรับผิดชอบ ไม่เกี่ยวกับบริษัท ส่วนที่หลายฝ่ายมองว่าเป็นเรื่องของ ธรรมาภิบาลของผู้บริหารบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์นั้น ก็เป็นหน้าที่ของสำนัก งานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ที่มีหน้าที่ในการดูแลจัดระเบียบ วางกฎเกณฑ์ว่าผู้บริหารบริษัทจดทะเบียนควรมีธรรมาภิบาลอย่างไรบ้าง

“เรื่องนี้เป็นเรื่องของบุคคล ไม่เกี่ยวกับบริษัท อีกทั้งมีผู้บริหารเป็น 10 คน ไม่ใช่มีเพียงคนเดียว ดังนั้นจึงมองว่าเรื่องนี้การบริหารงาน หรือประสิทธิภาพของบริษัท ไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับปัญหาที่เกิดกับรายบุคคล สิ่งไหนที่ไม่ถูกรายบุคคลก็ต้องรับผิดชอบในการกระทำ ไม่ใช่ให้บริษัทรับผิดชอบร่วมไปด้วย” รมว.คลังกล่าว

เปิดคลิปแฉต่อรองปล่อยตัว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นอกจากนี้ ความเคลื่อนไหวในโลกออนไลน์ มีผู้แชร์ภาพจากสมาชิกเฟซบุ๊กรายหนึ่ง ถ่ายภาพคณะนายเปรมชัยตั้งเต็นท์อยู่ในป่าเมื่อเดือนธ.ค.2559 อีกทั้งยังปล่อยคลิปเสียง เป็นเนื้อหาเกี่ยวกับการต่อรองการปล่อยตัวด้วย กลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์อยู่ในขณะนี้ โดยคลิปเสียงบางช่วงมีข้อความว่า “หากเหตุการณ์นี้ ไม่มีอะไรแล้ว ก็ขอกันได้ อยากจะส่งลูกน้องบรรทุกมาให้” หรือ “เคยส่งรองเท้าแตะ บรรทุกไปเลยนะ 100 กว่าคู่ คอมแบต ชุด ว. 30 เครื่องไปให้เลย” และ “ทำธุรกิจก็ต้องเปิดทางนะ มาเที่ยว ไม่น่าพลาด เข้ามาไม่น่าเอาปืนเข้ามา เดี๋ยวก็ให้ผู้ใหญ่มาคุย ยึดปืนหรือเปล่า คงไม่ได้ยึดมั้ง ปืนมีทะเบียน” เป็นต้น

พร้อมกันนี้ ยังแชร์คลิปในขณะที่นายเปรมชัย และทนายตอบคำถามผู้สื่อข่าว โดยระบุว่าเป็นการมาพักผ่อนเท่านั้น พร้อมกับระบุว่า ไม่ได้เข้าป่ามานานแล้ว ได้รับอนุญาตเข้าพื้นที่อย่างถูกต้อง ส่วนที่ออกล่าช้ากว่ากำหนด เพราะไม่ชำนาญทาง จึงต้องหยุดพัก เพราะเกรงได้รับอันตรายเท่านั้น

ชาวเน็ตบอยคอตอิตาเลียนไทย

ขณะเดียวกัน สมาชิกเว็บไซต์ change.org ตั้งแคมเปญชื่อ “[ร่วมกันบอยคอตบริษัทไทยอิตาเลียน] คดีล่าสัตว์ป่าในทุ่งใหญ่นเรศวรของประธานบริษัท 6 ข้อหา” โดยระบุว่าจากคดีล่าสัตว์ป่าในทุ่งใหญ่ฯ และคณะของ นายเปรมชัย ที่เป็นประธานบริหาร บริษัท อิตาเลียนไทยฯ เนื่องจากเป็นคดีใหญ่ ถูกจับได้พร้อมหลักฐานและของกลาง โทษตามกฎหมายมีความผิดอุกฉกรรจ์

ดังนั้น บริษัทอิตาเลียนไทยฯ ควรแสดงความรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ในเรื่องนี้ รวมถึงหน่วยงานรัฐต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ควรกดดันบอยคอตการดำเนินงานกับบริษัทนี้อย่างเป็นรูปธรรม เพื่อให้เป็นเยี่ยงอย่างแก่สังคมต่อไป การรณรงค์นี้ยังช่วยเป็นเสียงสนับสนุนให้ตำรวจที่รับผิดชอบ ทำคดีได้อย่างโปร่งใสตรงไปตรงมา ปราศจากแรงกดดันจากอำนาจ และอิทธิพลที่เข้ามาคุกคามอีกด้วย ปรากฏว่ามีผู้มาร่วมออกเสียงสนับสนุนบอยคอตกันจำนวนมาก

ค้นบ้านอีก-พบปืน 43 กระบอก

ต่อมาเวลา 16.00 น. พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผบ.ตร. นำกำลังตำรวจเข้าตรวจค้นบ้านพักนายเปรมชัยอีกครั้ง และเปิดเผยว่าตรวจค้นทั้งหมด 6 จุด ที่ จ.ราชบุรี 1 ชุด จ.กาญจนบุรี 1 จุด จ.นครราชสีมา 1 จุด กรุงเทพฯ 1 จุด และ จ.นนทบุรี 2 จุด ไม่พบสิ่งผิดปกติ หรือผิดกฎหมาย ยกเว้นบ้านนายเปรมชัย พบงาช้าง 2 คู่ ภรรยาอ้างว่าเป็นของนายเปรมชัย มีใบอนุญาตในการครอบครองถูกต้อง แต่ไม่มีสติ๊กเกอร์ติดอยู่ที่งาช้าง จึงต้องยึดให้กรมอุทยานฯ ตรวจสอบว่าเป็นงาช้างชิ้นเดียวกับที่ขออนุญาตไว้หรือไม่

รองผบ.ตร.กล่าวว่านอกจากนี้พบปืนทั้งหมด 43 กระบอก เป็นปืนยาว 41 กระบอก ปืนสั้น 2 กระบอก ส่วนปืนไรเฟิลมีบางกระบอกติดกล้อง ลักษณะเป็นปืนล่าสัตว์ เป็นปืนลักษณะเดียวกับที่พบบริเวณจุดเกิดเหตุ จะให้เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานตรวจสอบอาวุธปืนทั้งหมด ว่าแต่ละกระบอกว่ามีใบอนุญาตถูกต้องหรือไม่ และผู้ครอบครองเป็นใคร ปืนที่ตรวจพบเป็นพยานแวดล้อมยืนยันได้ว่านายเปรมชัยชอบล่าสัตว์

ตรวจลายนิ้วมือ-ดีเอ็นเอ

พล.ต.อ.ศรีวราห์กล่าวว่า อีกทั้งจะสอบพยานแวดล้อมเพิ่มเติมว่า นายเปรมชัยชอบล่าสัตว์จริงหรือไม่ และตรวจสอบเฟซบุ๊กด้วยว่ามีการโพสต์รูปไปเที่ยวป่าหรือไม่ ส่วนลายนิ้วมือที่จุดเกิดเหตุ อยู่ระหว่างตรวจสอบว่าเป็นลายนิ้วมือและดีเอ็นเอของใครบ้าง รวมทั้งนำพยานและเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานในวันที่ 2-4 ก.พ มาสอบเพิ่มที่บก.ปทส. ช่วงบ่ายวันที่ 8 ก.พ. ส่วนกรณีคลิปเสียงเจรจาต่อรองนั้น จะตรวจสอบเช่นกัน

พฤติกรรมชัดเจนเข้าป่าล่าสัตว์

“จะดำเนินการตามกฎหมายให้หมดทั้ง 4 คน ยืนยันว่าจะฟ้องทุกคน เนื่องจากวัตถุพยานฟ้องชัดเจน เข้าไปในพื้นที่โดยพกเครื่องครัว อาวุธโดยไม่มีเหตุอันควร หากจะเข้าไปทำอาหารในป่า ไม่จำเป็นต้องนำสิ่งของเหล่านี้ไปด้วย จากการตรวจสอบแล้วก็ไม่พบนายเปรมชัยและพวก นำเนื้อสัตว์ชนิดอื่นเข้าป่าไปเพื่อทำอาหารแต่อย่างใด ถ้าหากวิสัยนักสืบ พฤติกรรมดังกล่าวยืนยันชัดเจนว่าเข้าป่าเพื่อล่าสัตว์ แต่ในทางสำนวนขอตรวจสอบอีกครั้ง” รองผบ.ตร.กล่าว

รองผบ.ตร.กล่าวอีกว่า ในส่วนคดีจะให้ ปทส.ร่วมสอบสวนด้วย ไม่จำเป็นต้องตั้งกรรมการสอบสวน เนื่องจากตนมีหน้าที่ดูแลเรื่อง พ.ร.บ.ป่าไม้ และ พ.ร.บ.ป่าสงวนด้วย จึงใช้อำนาจนี้ดูแลสำนวนด้วยตนเอง ทุกอย่างชัดเจน การจะเข้าไปในพื้นที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าต้องได้รับอนุญาตก่อน กรณีนาย เปรมชัยหากไม่ได้ขออนุญาต ก็ต้องเข้าไปโดยมิชอบอยู่แล้ว ประเด็นอยู่ที่ว่าหากเข้าไปโดยไม่ได้รับอนุญาต ทำไมเจ้าหน้าที่ถึงไม่ระงับตั้งแต่ต้น เจ้าหน้าที่ไม่ทราบหรือไม่อย่างไร ก็อยู่ในการสอบสวนอีกครั้ง และยืนยันว่าจะดำเนินการตรงไปตรงมา

เจอกระสุนอีกอื้อกว่าพันนัด

พล.ต.ต.ชยพล ฉัตรชัยเดช รองผบช. สันติบาล กล่าวว่านอกจากอาวุธปืนแล้ว ยังพบกระสุนขนาด .40 กว่า 1,500 นัด กระสุนปืนลูกซองขนาดต่างๆ 49 นัด กระสุนปืนไรเฟิลขนาดต่างๆ 30 นัด กระสุนขนาดต่างๆ อีกจำนวนหนึ่ง รวมทั้งหมดกว่า 1,600 นัด และกล้องติดปืน 11 อัน โดยอาวุธปืนทั้งหมดส่วนใหญ่เป็นของนายเปรมชัย อาจมีเพียง 1-2 กระบอก เป็นของลูกชาย

รองผบช.สันติบาลกล่าวต่อว่า ตามกฎหมายแล้วคนทั่วไปจะพกปืนได้กี่กระบอกนั้น ขึ้นอยู่กับทางนายทะเบียนจะพิจารณาอนุญาต เป็นเรื่องของฝ่ายปกครอง และในส่วนของเอกสารใบอนุญาตพกปืนถูกต้องหรือไม่นั้น ให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบก่อน เนื่องจากอาวุธปืนมีจำนวนมาก และต้องให้เจ้าของปืนนำหลักฐานมายืนยันความเป็นเจ้าของ การตรวจค้นวันนี้ ทั้งทนายและภรรยานายเปรมชัยให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี หลักฐานทั้งหมดเป็นหลักฐานพยานแวดล้อมที่นำไปประกอบคดีได้

พบรูกระสุนซากไก่ฟ้า-เสือดำ

ด้าน พ.ต.อ.วุฒิพงษ์ เย็นจิตต์ ผกก.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี กล่าวว่าต้องรอผลตรวจสอบพื้นที่อีกครั้ง หาพยานหลักฐานเพิ่มเติม จากนั้นจะส่งวัตถุพยานหลักฐานต่างๆ ไปตรวจสอบที่ศูนย์พิสูจน์หลักฐาน 7 และกองพิสูจน์หลักฐาน หลักฐานมีจำนวนมาก คงจะต้องใช้เวลาตรวจพิสูจน์พอสมควร และจะต้องเรียกผู้ต้องหามาให้ปากคำเพิ่มเติมอีก แต่ยังไม่ได้ระบุวันแน่ชัด

รายงานข่าวแจ้งว่า จากการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานภาค 7 พบร่องรอยกระสุนปืนที่ซากไก่ฟ้าบริเวณลำตัว ส่วนซากเสือดำนั้น พบรูกระสุนที่บริเวณด้านหลังทะลุลำคอ และซากอีกส่วนหนึ่งไม่พบรอยกระสุน เพราะถูกชำแหละแล้ว ส่วนชนิดของกระสุนปืนที่ไก่ฟ้านั้น เบื้องต้นคาดว่าน่าจะเป็นชนิดลูกปราย ส่วนรูกระสุนที่พบในเสือดำยังไม่สามารถพิสูจน์ทราบได้ แต่เพื่อความแน่นอนจะต้องส่งให้ผู้เชี่ยวชาญด้านอาวุธปืนพิสูจน์อีกครั้งหนึ่ง

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน