จากกรณีมีผู้ใช้เฟสบุ๊กรายหนึ่ง ได้แชร์โพสต์ข้อความ พร้อมลงรูปภาพการพูดคุยของผู้ใช้เฟสบุ๊ก น.ส.ตรีทิพย์นิภา อริยวัฒน อายุ 33 ปี ชาว อ.บ้านโป่ง จ.ราชบุรี ที่โพสต์ถูกเรียกเก็บภาษีหลังจากถือกระเป๋าแบรนด์เนมจำนวนเงิน 20,000 บาท หลังจากเข้าด่านตรวจคนเข้าเมืองที่สนามบินสุวรรณภูมิ จนกลายเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวางในเรื่องของกฎระเบียบการปฏิบัติพิธีการศุลกากรของติดตัวผู้โดยสารที่นำติดตัวเข้ามาของกรมศุลกากรนั้น

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 20 มี.ค.2561 เวลา 14.00 น. ที่กรมศุลกากร นายกรีชา เกิดศรีพันธุ์ ผู้อำนวยการสำนักบริหารกลาง ในฐานะรองโฆษกกรมศุลกากร เปิดเผยว่า เรื่องนี้เกิดขึ้นจากการที่ผู้ใช้เฟสบุ๊กรายหนึ่งที่ใช้ชื่อว่า NongNang Korat ได้แชร์โพสต์ข้อความของ น.ส.ตรีทิพย์นิภา ซึ่งไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเดินทาง พร้อมให้ข้อมูลที่ว่า การนำของใช้ติดตัวเข้าประเทศจะต้องเสียภาษี และ การนำของออกไปและนำกลับเข้ามา จะต้องเสียภาษี ทำให้เกิดการแชร์ข้อมูลไปกว้างขวาง ซึ่งข้อมูลทั้งหมดเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน

นายกรีชา เปิดเผยว่า ผู้ที่เดินทางเข้าประเทศโดยมีสิ่งของติดตัวมาด้วย ไม่ว่าจะเป็นการอ้างว่า เป็นของฝาก ของขวัญที่ไม่ได้ซื้อมาเอง และของใช้ส่วนตัว ตามกฎหมายกำหนดให้เว้นภาษีนำเข้า หากมูลค่าของสิ่งของไม่เกิน 20,000 บาท แต่ในกรณีที่มีสิ่งของที่มีมูลค่าต่ำกว่า แต่ถ้ามีเจตนานำเข้ามาเพื่อการค้า เช่น ปากกาด้ามละ 50 บาท แต่มีการนำเข้ามา 200 ด้าม ก็ต้องเสียภาษี หรือ นาฬิกามียี่ห้อ เช่น โรเล็กซ์ แม้จะมีการใส่ติดตัวใช้แล้ว ถ้ามีมูลค่าเกินก็ต้องเสียภาษี แต่ในกรณีที่มีสินค้าหลายชิ้น เช่น นาฬิกา แท็บเล็ต โทรศัพท์มือถือ มีมูลค่าเกิน แต่มีเจตนาเพื่อใช้เอง ก็ไม่ต้องเสียภาษี

“ในการพิจารณาว่าจะเรียกเก็บภาษีนำเข้าจากสิ่งใดบ้าง ให้ดูเจตนาเป็นหลัก ถ้านำเข้ามาเพื่อการค้า ไม่ได้ใช้เองก็ต้องเสียภาษี ไม่ว่าสินค้านั้นจะราคาเท่าใด แต่ถ้านำเข้ามาชิ้นเดียว แต่มีมูลค่าสูง ต่อให้ใช้แล้ว หากเจ้าหน้าที่เรียกสุ่มตรวจ ก็ต้องเสียภาษีให้ถูกต้อง ในรายที่ไม่ได้สุ่มตรวจ ก็ถือว่าได้ประโยชน์ไป”นายกรีชา กล่าว

สำหรับกรณีของ น.ส.ตรีทิพย์นิภา นั้น เนื่องจากเจ้าหน้าที่กรมศุลกากรมีการสุ่มตรวจพบว่ามีกระเป๋าแชนแนล รุ่นบอย สภาพใหม่ มีพลาสติกซีลปิดที่โลโก้ เดินถือติดตัวมาด้วย จึงขอเปิดกระเป๋าตรวจสอบและพบว่ามีกล่องใส่กระเป๋าแชนแนลสภาพใหม่อยู่ด้วย จึงขอตรวจสอบกระเป๋าและนำเลขโฮโลแกรม สติ๊กเกอร์ หรือ หมายเลขกระเป๋าที่ประทับบนโลโก้ด้านใน และหมายเลขในการ์ดสีดำขอบทอง ไปตรวจสอบปีที่ผลิตซึ่งพบว่าเป็นรุ่นใหม่ โดย น.ส.ตรีทิพย์นิภา ยอมรับว่าเป็นของขวัญที่ได้รับจากเพื่อนจึงไม่มีใบเสร็จรับเงิน จากนั้นเจ้าหน้าที่จึงนำรุ่มไปตรวจสอบและคำนวณภาษีนำเข้า และภาษีมูลค่าเพิ่มที่ต้องจ่ายรวมที่ 20,000 บาท ซึ่ง น.ส.ตรีทิพย์นิภา ไม่ปฏิเสธและยินดีชำระภาษี

จากนั้นกรมศุลกากร ได้มีการต่อสายโทรศัพท์ไปยัง น.ส.ตรีทิพย์นิภา เพื่อชี้แจงกรณีที่เกิดขึ้น โดย น.ส.ตรีทิพย์นิภา เปิดเผยว่า ยินดีที่จะเสียภาษี เพราะที่ผ่านมาไม่รู้ว่าการถือของมีราคาเกิน 2 หมื่นบาทจะต้องเดินเข้าช่องเขียวหรือช่องแดงในด่านศุลกากรที่สนามบิน แต่ตอนนี้ได้รับความเดือดร้อน เพราะมีการแชร์ข้อมูลออกไปมาก จากเฟสส่วนตัวที่ใช้คุยกับเพื่อนเท่านั้น และไม่รู้ว่าจะดำเนินการฟ้องร้อง ผู้ใช้เฟสบุ๊กที่ชื่อว่า NongNang Korat ที่นำเรื่องนี้ไปแชร์ในวงกว้างได้อย่างไร เพราะไม่ได้อยู่ในประเทศ ไม่ใช้ชื่อจริง ทำให้จับมือดมยาก

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน