วันที่ 10 เม.ย. ที่ มูลนิธิร่วมกตัญญู บางพลี “บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์” เป็นตัวแทนรับมอบรองเท้าผ้าใบเอนกประสงค์ โกลด์ ซิตี้ ร่วมกับสมาคมผู้กำกับภาพยนตร์ไทยช่วยเพื่อลดอุบัติเหตุจราจร จากนั้นให้สัมภาษณ์ถึงกระแสดราม่าว่าทำไม บิณฑ์ ถึงออกมาพูดแทนครอบครัวของน้องอินจนถูกมองว่าเข้ามายุ่งเกี่ยวมากเกินไป ทั้งนี้ นางลัดดา แม่ของน้องอินยังให้สัมภาษณ์ก่อนหน้านี้ว่าสิ่งที่บิณฑ์พูดมีข้อมูลที่คลาดเคลื่อนหลายอย่าง

บิณฑ์ กล่าวว่า “ผมไม่ติดใจ และไม่โกรธใครด้วยนะครับที่จะมาว่าผมเข้าไปเสือกเรื่องนู้นเรื่องนี้ ผมไม่โกรธไม่อะไรใครครับ ที่สิ่งผมพูดไป สิ่งที่ผมทำไปนั้น ผมอยากให้มันยุติ ในการที่พูดกันไปต่างๆ นาๆ โดยไม่เป็นความจริง แล้วเรื่องที่ผมพูดมันเป็นความจริงทั้งหมด ถือว่าผมสบายใจ ใครจะว่าผมว่าพูดมากไปหรือเปล่า คือผมก็อยากจะพูดในสิ่งที่ควรรู้จะได้ไม่ต้องไปมโนกันว่าเป็นเพราะคนนั้น ตายเพราะคนนี้ เอาเป็นว่าจบแล้วกัน ผมพูดไปแล้วก็คือจบ ถ้าผมพูดไปแล้วมันทำให้เกิดความเสียหายกับใคร หรือว่าทำให้ใครไม่พอใจ ผมต้องขอโทษด้วยนะครับ แต่ถ้าใครจะมาว่า ผมก็ยืนยันว่าผมอยากจะพูด”

ถ้าย้อนเวลากลับไปเราก็ยังอยากที่จะพูดใช่ไหม
“ผมย้อนเวลากลับไปผมก็อยากจะที่จะพูด เพราะผมพูดในสิ่งที่ผมไม่อยากให้ใครมาว่าน้องผม ไม่อยากให้ใครมาว่าคนที่เสียชีวิตไปแล้วต่างๆนาๆ มันไม่ใช่ แล้วอีกอย่าง พวกคุณต้องให้กำลังใจคุณแม่เขา ไม่ใช่มาดราม่า มาซ้ำเติมกัน แต่ก็อยากว่านะ เวลาเกิดอะไรแบบนี้ก็แทนที่จะเข้าใจ แต่ดันไม่เข้าใจแล้วก็ไปขุดคุ้ยโน่นนี่นั่นมา ผมก็ต้องเอาวะ จะด่าผมก็ด่าผมคนเดียว ไม่เป็นไร”

จริงๆวันนั้นที่พูดเราได้คุยกับครอบครัวน้องก่อนไหม
“ผมคุยแล้ว ผมคุยกับทางคุณแม่แล้ว ตอนนั้นคุณแม่ก็คงอยู่ในสภาพที่ไม่มีอะไรที่จะพูด แล้วก็คงพูดอะไรไม่ได้ ก็เหมือนกับว่างั้นผมเป็นตัวแทนแล้วกันที่จะพูดอะไร แต่ก่อนที่ผมจะพูด ณ วันนั้น วันแรกเลยผมไม่ทราบว่าคุณแม่พูดอะไรไปบ้าง แล้วพูดชื่อออกมาแล้ว สื่อมวลชนก็อยู่กันเยอะแยะ ผมเองก็ไม่รู้ แต่ตอนหลังผมมาได้ข่าวว่าชักเริ่มพูดกันไม่ดีแล้วเรื่องเกี่ยวกับน้อง ว่าทะเลาะกัน กินเหล้า เมายา ไม่มีสติสัมปชัญญะ แต่ผมรู้ความจริงมา ผมก็เลยอยากจะพูดความจริง ให้ทุกคนหยุดพูด หยุดมโนกันได้แล้วเกี่ยวกับอะไรที่มันไม่ดีกับน้อง ปรากฎว่าพอผมพูดไปแล้วเหมือนกับว่าไปเสือก ไปพูดมากเกินไปหรือเปล่า อ้าว ! ก็ในเมื่อผมอยากจะพูดสิ่งที่มันเป็นความจริง ผมก็เลยต้องพูด ก็ไม่เป็นไรถ้าพูดไปแล้ว แล้วคุณแม่จะออกมาว่าที่ผมพูดไปเนี่ยไม่ใช่เลย โอเคผมก็ยอมรับ ไม่เป็นไร ถือว่าที่ผมพูดไปแล้วมันเป็นสิ่งผมอยากจะพูดและเป็นความจริง”

ได้ฟังที่คุณแม่พูดไหม
“ก็เห็นข่าวว่าคุณแม่พูดว่าที่พี่บิณฑ์พูดมันไม่ใช่ มันอาจจะคลาดเคลื่อนกัน คนนั้นฟังที คนนี้ฟังที น้องมีเพื่อนหลายกลุ่ม บางทีผมก็ได้ยินมาว่าน้องไปส่งเพื่อน ผมได้ยินมาว่าทะเลาะกับคนนี้ คนนี้ให้รีบไป ถ้าไม่ไปจะเลิกกันอะไรประมาณนี้ ก็เลยอยากจะสรุปว่าเรื่องจริงมันเป็นแบบนี้ คือจบนะ”

ได้มีโอกาสคุยกับทางคุณแม่น้องหรือยัง หลังจากเกิดดราม่า
“คุยครับ ผมก็บอกไม่เป็นไร เอาที่คุณแม่ตามสบายนะ เอาที่แม่สบายใจ แม่พูดอะไรพูดเลย จะไม่พูดอะไรอีกแล้ว เอาเป็นว่าที่ผมพูดให้น้องอิน ให้ทุกคนเข้าใจถึงว่าน้องอินเป็นยังไงอะไร มันเป็นเรื่องส่วนตัวของน้องอินอยู่แล้วว่าจะเป็นอะไร น้องอินอายุ 21 แล้ว บรรลุนิติภาวะแล้ว จะมีใคร จะคบใครมันเรื่องของเขา แต่พี่พูดกันไปต่างๆนาๆ ผมก็เลยออกมาพูดให้น้องอินในทางที่ดีว่าไม่ใช่อย่างที่คุณคิดกัน”

คุณแม่เข้าใจเจตนาของเราไหม
“เข้าใจครับ แต่คุณแม่พยายามไม่อยากให้พูด ไม่อยากขุดคุ้ยอีกแล้ว ถ้าจะพูดถึงน้อง ควรจะพูดถึงในสิ่งที่ดีๆ ความกตัญญู ผมรู้ว่าน้องอินมีความกตัญญูมาก เป็นเด็กที่ดีมาก ที่ผมสัมผัสมา ที่ผมได้คบมา ประมาณ 15 – 16 ปีที่คลุกคลีอยู่กับแม่อยู่กับน้องอิน ผมว่าเขาดีที่สุด แต่ผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเรื่องแบบนี้ต้องมาเกิดขึ้นกับน้องอิน”

ก็ยังยืนยันว่าสิ่งที่พูดไปเป็นความจริง
“ผมพูดในรายการเลย บอกว่าโอเคไม่เป็นไร ถ้าเกิดทั้งหมดที่ผมพูดไปแล้วมันไม่ใช่ตามที่ผมพูด ผมก็เป็นหมาเองแล้วกัน ก็เหมือนกับยกตัวอย่างว่าผัวเมียทะเลาะแล้วเราเข้าไปยุ่ง เราก็เป็นหมาเองแล้วกัน ไม่เป็นไร ก็ยอมรับไม่เป็นไร”

เราซีเรียสหรือเครียดไหมที่คนเข้ามาคอมเมนต์ดราม่า
“เชื่อไหม ผมไม่เคยซีเรียส ไม่เคยเครียดอะไรเลย ก็ปล่อยไป ไม่เป็นไรคนสามารถที่จะคิดได้ เพราะคนที่เข้าใจผมก็มี คนที่ไม่เข้าใจผมก็มี ธรรมดาคนรักคนเกลียดมีอยู่แล้วปกติ ถ้าเราทำใจตรงนี้ไม่ได้ ก็อย่าไปลง ก็อย่าไปพูดอะไรซะดีกว่า เรารู้อยู่แล้วว่ามันต้องมีเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น”

ตอนนี้ความสัมพันธ์ของเรากับคุณแม่น้องเป็นอย่างไรบ้าง เพราะเมื่อวานเราก็ไม่ได้ไปร่วมงานศพ
“เหมือนเดิมครับ เมื่อวานไม่ได้ไปเพราะว่าผมไม่สบาย กลับมาจากงานน้องอินวันแรก มีอาการอาเจียนตลอด ผมไม่เคยเป็นอย่างนี้ จนวันรุ่งขึ้นต้องแคนเซิลงานที่จะไปออกทั้งหมด แต่มีรายการหนึ่งที่ผมต้องไปพูดคือรายการของคุณ หนุ่ม กรรชัย เสร็จแล้วผมจะไปงานน้องอิน ผมรู้สึกว่าผมไม่ไหว เลยต้องกลับมานอนที่บ้าน ก็เลยไม่ได้ไป แต่วันนี้ผมจะไป ไม่ได้โกรธ ไม่ได้อะไร กับคุณแม่กับญาติพี่น้องไม่ได้อะไรเลย เหมือนเดิมทุกอย่าง ยังรักและเคารพ อาจจะรักมากขึ้นด้วยซ้ำไป”

ถือเป็นบทเรียนเลยไหม
“ไม่เป็นบทเรียนครับ ผมถือว่าสิ่งที่ผมทำอะไรลงไปก็แล้วแต่ ทุกครั้งที่มีเรื่องดราม่าอะไรเกี่ยวกับผม ผมถือว่ามันเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ผมต้องทำ ใครจะคิด ใครจะว่าอะไรก็แล้วแต่ไม่เป็นไร แล้ววันหนึ่งจะปรากฎให้ทุกคนเห็นว่า สิ่งนั้นที่ผมพูดมันน่าจะมีประโยชน์ให้กับหลายๆคน ที่เข้าใจผม”

ตอนนี้พอเราพูดออกไปแล้ว ทางตำรวจจะเรียกฝั่งทางน้องไทม์ เข้าไปสอบถามไหมว่าเกิดเหตุการณ์แบบนั้นจริง
“ผมถามตำรวจแล้ว ผมก็ไม่สบายใจเรื่องตำรวจ ผมก็งงเหมือนกัน เรื่องนี้มันไม่ใช่คดีฆาตกรรม มันไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องอาชญากรรมหรืออะไร มันเป็นอุบัติเหตุ เขาก็อธิบายว่าอยากสอบเพื่อเป็นพยานว่าน้องอินออกจากพัทยากี่โมง ไปกับใครหรือเปล่า ไปส่งเพื่อนตามที่มีคนบอกว่าไปส่งเพื่อนหรือเปล่า แล้วเรื่องเกี่ยวกับพ่อ ที่บอกไปหาพ่อที่อยุธยา หรือไปเจอเพื่อนคนนี้ แล้วถึงเพื่อนคนนี้หรือยัง หรือยังไม่ถึงแล้วเกิดอุบัติเหตุก่อน คือเขาจะไปดูว่าเส้นทางที่น้องอินไป เส้นทางสุดท้ายที่น้องอินโทรมาถามเพื่อน เขาอยากจะรู้เท่านั้นเอง เพื่อดูกล้องวงจรปิดว่าไปตรงไหนเมื่อไหร่ และเกิดอุบัติเหตุตอนไหน จริงๆเท่านั้นเอง ซึ่งเป็นเรื่องปกติของตำรวจอยู่แล้ว ผมก็บอกแล้วเรียกผมไหม เขาก็บอกอยู่ที่ว่าถ้าน้องไทม์ให้ข้อมูลที่ชัดเจน หมดแล้วก็ไม่ต้องเรียก ผมก็อยากรู้เท่านั้นเอง ผมก็ถามเจ้าหน้าที่ตำรวจหมดแล้วว่าอะไรยังไง”

หลังจากวันที่ให้สัมภาษณ์ไป มีโอกาสได้คุยกับทางน้องไทม์อีกไหม
“ไม่ได้คุยเลยครับ เพราะวันนั้นก็รู้สึกว่าอยากรู้ความจริงจากน้องไทม์ เมื่อรู้ความจริงแล้วก็โอเค แต่ผมก็ไม่รู้ว่าน้องไทม์ ไปให้สัมภาษณ์ว่าอะไร เขาพูดกับผมจริง แต่ไม่รู้ว่าพูดกับสื่อมวลชนยังไง เพราะเห็นว่าผมเป็นผู้ใหญ่ ก็ถ้าคุณพูดความจริง มันไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไรเลย ก็แค่อยากจะรู้ความจริงว่ามันเพราะอะไร ถ้าเรื่องที่ผมพูดมันเสียหาย ผมนี่จะออกมาขอโทษ แต่นี่ผมไม่ได้พูดอะไร เสียหาย มันเป็นความจริงที่เกิดขึ้นเท่านั้นเอง ไม่ใช่ว่าผมไม่เป็นผู้ใหญ่ ซึ่งมันไม่เกี่ยวกับเป็นผู้ใหญ่ไม่เป็นผู้ใหญ่เลย อยากจะบอกให้น้องไทม์เข้าใจว่า สิ่งที่น้องไทม์พูดอะโอเค ผมได้ความจริง เพราะว่าผมได้ยินมาว่าน้องอินเสียชีวิต เพราะคนนี้เรียกออกมา จิกออกมา พอผมได้รู้ความจริง ว่ามันไม่ใช่ ผมก็เลยให้ความกระจ่างว่ามันไม่ใช่ตามอย่างนั้นนะ

แสดงว่าถ้าไม่พูดความจริงคนก็จะขุดคุ้ย
“ถ้าไม่พูดความจริงคนก็จะขุดคุ้ยไปเรื่อยๆว่าน้องอินเสียชีวิตเพราะใคร ที่ผมพูดคือเหมือนช่วยเขาด้วยนะเนี่ย ซึ่งไม่ใช่เลย เราพูดอะไรไปหมดแล้วกลายเป็นหมาเลยนี่ไง”

เขาว่าพี่เป็นหมา
“ไม่ๆ เขาก็คงไม่รู้ว่าสิ่งที่ผมพูดคือปกป้องน้องไทม์ด้วย แต่กระแสข่าวที่หลายคนพูดว่าน้องอินมาพูดกับคนนี้ทำไม”

คนเลยมองว่าอาจจะเป็นตราบาปน้องไทม์เพราะข่าวออกไปแบบนั้น
“ถูกต้องครับ แต่จริงๆไม่ใช่นะ น้องไทม์ไม่มีส่วนตรงนี้เลย ทั้งน้องเบลด้วยก็ไม่มีส่วน มันคืออุบัติเหตุระหว่างเดินทางไปหาคนที่เขาอยากไปหาเท่านั้นเอง เรื่องมันมีแค่นี้จริงๆ”

ไปดูโทรศัพท์ของน้องอินที่เพิ่งเก็บได้หรือยัง
“ผมยังไม่ได้ไปดู เมื่อวานผมเจอกู้ภัย ก่แนเขาจะมาเจอผมเขาก็เพิ่งเจอโทรศัพท์เหมือนกัน ผมยังบอกแม่น้องอินเลยว่าถ้าเสร็จจากงานเผาปุ๊บผมจะไปดูกันอีกทีจะไประดมค้นหาให้เจอ แต่วันนั้นมีคนถามว่าแล้วเข้าไปติดต่อหาแบมบี้ได้ยังไง เขาก็อธิบายว่าเอาบัตรประชาชนของน้องอินเสิร์ชเข้าไปเป็นภาษาอังกฤษแล้วเจอว่าคนที่น้องอินติดต่อประจำคือคนนี้ เขาเลยส่งข้อความไปถามในแมสเสจเฟซบุ๊คว่ารู้จักคนนี้มั้ย แค่นั้นเอง แต่มีคนเข้าใจว่ากู้ภัยเอาโทรศัพท์มือถือไปแล้ว เขาก็เสียใจคนที่ไม่รู้เรื่องหาว่าเขาเอาโทรศัพท์ไป เขาก็เสียกำลังใจในการทำงาน ผมเลยบอกว่าเวลาด่าเขาไปแล้วคุณออกมาขอโทษเขามั้ย ผมทำงานกู้ภัยมาผมรู้บางครั้งเราอยู่ในเหตุการณ์แล้วของเขาหาย เราใจไม่ดีเลย คนก็จะคิดว่ายังไงกู้ภัยต้องเอาไปแน่เลย ซึ่งมันไม่ใช่เหมือนกับไปทำตราบาปให้เขาแต่เขาไม่ได้ทำ สุดท้ายสรุปว่าหาเจอแล้วก็เงียบกันไม่มีใครออกมาขอโทษที่เคยด่าเขาไป ต่างคนต่างมุดหัวหายไป นี่คือสิ่งหนึ่งของสังคมที่ผมมองว่ามันแย่มาก”

คนไม่เข้าใจว่าทำไมตอนกู้ภัยทำงานต้องถ่ายวิดีโอหรือไลฟ์เฟซบุ๊คให้เห็นสภาพร่างของผู้เสียชีวิต
“การถ่ายวิดีโอให้เห็นผู้ที่เสียชีวิตหรือสถานที่เกิดเหตุมันมีสองกรณี กรณีที่หนึ่งคืออยากรู้ว่าการทำงานเป็นยังไงซึ่งเป็นภายในกลุ่มไม่ได้แชร์ออกไป อันที่สองที่แชร์ออกไปถ้าเราไม่รู้ว่าผู้เสียชีวิตเป็นใคร เราก็สามารถขึ้นแคปชั่นบอกว่าผมขอโทษนะครับที่ต้องเอาภาพนี้ออกมาเพื่ออยากจะรู้ว่าบุคคลที่เสียชีวิตนี้เป็นใคร ถ้าใครรู้จักโปรดติดต่อเบอร์นั้นเบอร์นี้มานะครับ ก็จะมีการถ่ายให้เห็นว่าน้องเสียชีวิตที่นี่ๆอันนี้คือกรณีไม่รู้ว่าเป็นใคร ซึ่งได้มีการขอโทษก่อนแล้วว่าขออนุญาตเอาภาพนี้ขึ้นนะครับเผื่อมีคนรู้จักนี่คือสิ่งที่เราทำงานกัน บางทีไปนอนอยู่รพ.7-8วันแล้วยังไม่รู้ว่าญาติเป็นใคร เราก็ต้องทำอย่างนั้นจริงๆ

บางครั้งก็มีบางรายที่ไม่รู้การทำงานถือวิสาสะไลฟ์สด ณ ตอนนั้น อันนั้นผมถือว่าไม่ดี แย่ เราก็พยายามรณรงค์ของเราตลอดเวลาถ้าคุณจะไลฟ์สดห้ามเห็นผู้บาดเจ็บ ห้ามเห็นผู้เสียชีวิต แต่ถ้ามีกรณีที่ต้องขอความช่วยเหลือจากทางสังคม โอเคคุณบอกเขาก่อน บอกรายละเอียดว่าเสียชีวิตตรงไหน เลขที่บ้านอะไร ใครเป็นญาติก็แจ้งได้ เพราะถ้าคุณด่ามูลนิธิไปแล้ว ถามว่าพวกเขาท้อแท้มั้ย มันก็มีบ้าง มันบั่นทอนจิตใจ เสียใจ เขาทุ่มเทร้อยเปอร์เซนต์แต่กลับโดนสังคมประณามมาด่าว่าเป็นพวกมูลนิธิโจร ฟังแล้วรู้สึกปวดร้าว เราทำงานนี้เรารู้ไง ถามว่ามีมั้ยมันก็มี เป็นส่วนน้อยทุกวงการมันมีหมดพวกนี้ แต่มันเป็นส่วนนิดเดียวที่เราพยายามกำจัดให้หมดไป เพราะฉะนั้นให้กำลังใจกัน ขอกำลังใจให้กับมูลนิธิที่ทำงานจริงจังอย่าไปว่าเขาเลย อะไรที่มันหายก็ค่อยๆสืบหาดูถ้ามันเป็นมูลนิธิจริงๆเราค่อยประณามกัน แต่ถ้ายังไม่ใช่อย่าเพิ่งไปประณามพวกเขา ให้กำลังใจกันนะครับ”

ทางครอบครัวน้องอินยังติดใจหรือสงสัยอะไรอีกมั้ย
“ไม่แล้วครับ ทางคุณแม่พยายามขอร้องไม่ต้องขุดคุ้ยอะไรแล้ว คุณแม่ไม่ติดใจอะไรเลย ขอให้มันจบ พรุ่งนี้น้องอินจะไปอยู่สวรรค์แล้วก็ขอให้มีสิ่งที่ดีๆให้กับน้องอิน ถ้าจะพูดถึงน้องอินก็พูดแต่สิ่งที่ดีๆ ที่ผมพูดวันนี้ขอเป็นวันสุดท้ายนะครับเพราะมันมีดราม่า ไม่รู้อยู่ดีๆมันมีเรื่องนี้ได้ยังไง”

พี่บิณฑ์ได้บอกน้องอินมั้ยกับเรื่องที่เกิดขึ้น
“ผมบอกตั้งแต่วันแรกที่ไปเจอ ไปลูบหัวน้องอินบอกน้องตลอด แม้แต่ตอนจะเอาเข้าใส่โลงก็พูดกับน้องอินเลยว่าทุกอย่างที่พี่พูดผมรู้ว่าน้องอินอยากจะพี่พูด อยากจะให้ทุกคนทราบว่าเรื่องมันเป็นยังไง ขอโทษจริงๆที่มีคนมาว่าน้องอิน ผมต้องขอโทษน้องอินแทนพวกเขาด้วย น้องอินจะได้ไปสบายไม่ต้องมากังวลห่วงอะไรทั้งนั้น จริงๆทุกเรื่องน้องอินมาปรึกษาผมตลอด แม้แต่เรื่องการทำธุรกิจที่กำลังทำอยู่ ทุกเรื่องเพราะผมก็เหมือนผู้ใหญ่ของเขาคนหนึ่ง บางทีจะปรึกษาแม่ก็ไม่อะไรเท่าไหร่ แต่มาพูดกับผมเราก็ช่วยกันตามที่เราสามารถจะช่วยได้”

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน