เลขาสมาคมบอล อย่าง “บิ๊กแชมป์”กรวีร์ ปริศนานันทกุล ยืนยันช้างศึก ไม่น่าจะพลาดตัว อากิระ นิชิโนะ นั่งกุนซือใหญ่ แม้ยังไม่จรดปากกาเซ็นสัญญา แต่จากการพูดคุยทุกอย่างลงตัวแล้ว พร้อมแนะทั้งนักเตะไทยและว่าโค้ชใหม่ต้องปรับตัวเข้าหากัน เพื่อยกระดับทีมชาติไทยให้ดีขึ้น

เลขาสมาคมบอล – ความคืบหน้าของ อากิระ นิชิโนะ อดีตกุนซือทีมชาติญี่ปุ่น ชุดทำศึกฟุตบอลโลก 2018 วัย 64 ปี ในการเข้ามาทำหน้าที่เป็นหัวหน้าผู้ฝึกสอน “ช้างศึก” ทีมฟุตบอลชายทีมชาติไทย โดยสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ ได้ส่งร่างสัญญาให้กับ นิชิโนะ ได้พิจารณาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และเหลือเพียง นิชิโนะ เคลียร์งานที่สมาคมฟุตบอลญี่ปุ่นแล้วเสร็จจะมีการเซ็นสัญญาอย่างเป็นทางการในการเข้ามาเป็นกุนซือต่างชาติชาวเอเชียคนแรกของทัพช้างศึก

เกาะติดข่าวกีฬา แค่กดติดตาม ไลน์@ข่าวสดกีฬา ที่นี่
เพิ่มเพื่อน

ล่าสุดเมื่อวันที่ 8 ก.ค. “บิ๊กแชมป์” นายกรวีร์ ปริศนานันทกุล เลขาธิการสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ เปิดเผยว่า ถึงตอนนี้เหลือเพียงขั้นตอนการเซ็นสัญญาระหว่างสมาคมกีฬาฟุตบอลฯ กับทางนิชิโนะ ซึ่งต้องยอมรับว่าการติดต่อโค้ชระดับโลกเช่นนี้มีภาระหน้าที่ของตัวเองที่ประเทศญี่ปุ่นอยู่มากพอสมควร และขอเวลาในการกลับไปเคลียร์ตัวเองให้เรียบร้อยเสียก่อน

นายกรวีร์ กล่าวอีกว่า ได้มีการพูดคุยกับทาง “บิ๊กอ๊อด” พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง นายกสมาคมกีฬาฟุตบอลฯ ซึ่งบอกว่า เหลือเพียงขั้นตอนสุดท้ายของการลงนามร่วมกัน ซึ่งคิดว่าไม่น่าจะมีปัญหาแต่อย่างใด ส่วนกรอบเวลานั้น ยังไม่ได้มีการวางไว้ว่าจะต้องเป็นวันใด หรือกำหนดเส้นตายเอาไว้ เพราะได้มีการพูดคุยกับในเรื่องของหลักเกณฑ์ เรื่องของกติกาของเงื่อนไขต่างๆ ร่วมกันแล้ว

“ผมคิดว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไรในการลงนามระหว่างสมาคมกีฬาฟุตบอลฯ กับนิชิโนะ แต่อย่างที่บอกไปว่ายังไม่ได้มีการเซ็นสัญญากัน เราต้องให้เกียรติเขา เพราะเขาเป็นโค้ชที่มีชื่อเสียงในประเทศญี่ปุ่นอยู่ด้วยต้องให้เกียรติเขาในการไปจัดการเรื่องที่ญี่ปุ่นก่อนด้วย เราคงไม่ได้กำหนดวันในการลงนามไว้ชัดเจน แต่ทราบดีว่าเรามีเงื่อนในที่จะต้องแข่งขันฟุตบอลโลก 2020 รอบคัดเลือก โซนเอเชีย ในเดือนมิถุนายนนี้ ทางสมาคมและตัวท่านนายกสมาคมเองได้เร่งรัดติดตามเรื่องนี้อยู่ เพื่อที่จะได้มีข้อสรุป และเซ็นสัญญาอย่างเป็นทางการในเร็ววัน”

“เราได้เขามาร่วมงานกับสมาคม มีข้อตกลงในการเซ็นสัญญาร่วมกัน ผมคิดว่าจะเป็นประโยชน์ต่อวงการฟุตบอลมากมายมหาศาล โค้ชมีดีกรีการทำทีมระดับโลก มีประสบการณ์ต่างๆ มากมาย ซึ่งผมมั่นใจว่าประสบการณ์ของเขา ความรู้ของเขา ความชำนาญของเขา จะสามารถเข้ามายกระดับการแข่งขันทั้งเรื่องของผลการแข่งขัน ทั้งในเรื่องของการพัฒนาของตัวนักเตะ แล้วการพัฒนารูปแบบการเล่นของทีมชาติไทย รวมถึงสโมสรต่างๆ ได้อย่างมาก”

“ส่วนเรื่องโค้ชต้องปรับตัวหรือนักเตะต้องปรับตัวอย่างไรเพื่อให้ทั้งสองฝ่ายทำงานร่วมกันได้นั้น ไม่ว่าจะโค้ชคนไหนมาก็แล้วแต่ ทั้งสองฝั่งคงจะต้องปรับตัวกันทั้งคู่ โค้ชได้มีโอกาสไปชมฟุตบอลไทยลีก 2 นัด เขาบอกเลยว่านักเตะไทยหลายคนมีศักยภาพ สามารถที่จะไปเล่นในระดับเอเชียได้สบาย ไม่น้อยหน้ากว่าชาติอื่นๆ ถือว่าเป็นสัญญาณที่ดีในการทำงานร่วมกันระหว่างโค้ชกับนักเตะ หากได้ข้อสรุปในเร็ววัน”

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน