เมื่อวันที่ 21 เม.ย. ที่โรงแรมโกลเด้นทิวลิป “ทนายโบ้” นายนรินท์พงศ์ จินาภักดิ์ ประธานที่ปรึกษาฝ่ายกฏหมายของ “บังยี” นายวรวีร์ มะกูดี อดีตนายกสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย แถลงถึงกรณีที่ เมื่อ 22 ก.ค. 2558 ศาลอาญากรุงเทพใต้ มีคำพิพากษาคดีหมายเลขดำที่ อ.5446/2556 คดีหมายเลขแดงที่ อ.2395/2558 ระหว่างบริษัท สโมสรฟุตบอลพัทยา จำกัด โจทก์ กับนายวรวีร์ มะกูดี ที่ 1 กับ “บิ๊กเปี๊ยก” นายองอาจ ก่อสินค้า ที่ 2 จำเลย ว่ามีความผิดปลอมเอกสารและใช้เอกสารปลอม จำคุกคนละ 2 ปี ลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุกคนละ 1 ปี 4 เดือน โทษจำคุกให้รอการลงโทษ 2 ปี และเมื่อวันที่ 30 พ.ย. 2558 นายวรวีร์ และนายองอาจ ได้ยื่นอุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษา ต่อศาลอุทธรณ์ว่ามิได้กระทำความคิดตามคำพิพากษาของศาล

 
นายนรินท์พงศ์ กล่าวว่า เมื่อวันที่ 20 เม.ย. ศาลอุทธรณ์พิพากษาในประเด็นว่า จำเลยทั้งสองทำผิดอาญาตามคำพิพากษาศาลอาญากรุงเทพใต้หรือไม่ โดยศาลวินิจฉัยว่า การแก้ไขข้อบังคับฯ เรื่ององค์ประชุมโดยเพิ่มว่า “ไม่น้อยกว่าห้าสิบคน จึงจะเป็นองค์ประชุม” นั้น ไม่ทำให้เกิดความเสียหายแก่การประชุมใหญ่ และที่ประชุมใหญ่มีมติรับรองให้สมาคมฟุตบอลฯ ปรับแก้ไขถ้อยคำ ในรายละเอียดปลีกย่อยของสมาคมฟุตบอลฯ ตามมาตรฐาน ฟีฟ่า กำหนด และไม่ขัดแย้งกฏหมายไทย และการแก้ไขข้อบังคับฯ โดยไม่ต้องกลับมาเสนอในที่ประชุมใหญ่พิจารณาเห็นชอบอีก ระหว่างรอการจดทะเบียน แก้ไขข้อบังคับสมาคมฯ กรมการปกครองมีหนังสือแจ้งผ่านไปยัง กกท. แนะนำให้สมาคมฟุตบอลฯ ปรับแก้ข้อบังคับที่ได้ยื่นขอจดทะเบียน และการแก้ไขข้อความหลังจากมีหนังสือของกรมการปกครอง แนะนำให้แก้ไขแล้ว มิใช่จำเลยทั้งสองมีเจตนาจะกระทำการแก้ไขมาแต่แรก

 
และการแก้ไขข้อบังคับ ข้อ 77. เรื่องสิทธิประโยชน์ การแก้ไขและตัดทอนข้อความคำว่าสมาชิกออก เป็นผลสืบเนื่องจากหนังสือที่กรมการปกครอง มีไปถึง กกท. และตามประมวยกฏหมายแพ่งพาณิชย์ มาตรา 78 สมาคมต้องไม่มีวัตถุประสงค์เพื่อหากำไรหรือรายได้มาแบ่งปันกัน การให้สมาชิกเป็นเจ้าของสิทธิด้วยก็ต้องมีผลประโยชน์ ซึ่งอาจขัดต่อ มาตรา 78 ดังนั้น การจดทะเบียนแก้ไขเปลี่ยนแปลงองค์ประชุมและตัดข้อความสมาชิกออก เกิดจากการท้วงติงของกรมการปกครอง และที่ประชุมใหญ่ให้อำนาจในการแก้ไขข้อผิดพลาดเล็กน้อย และจำเลยทั้งสองจะต้องรีบดำเนินการจดทะเบียนแก้ไขข้อบังคับฯ เพื่อให้ทันตามกำหนดระยะเวลาการเลือกตั้ง การกระทำของจำเลยทั้งสองขาดเจตนาในการกระทำความผิด พิพากษายกฟ้อง

 
นายนรินท์พงศ์ เผยอีกว่า ในส่วนที่นายวรวีร์ถูกฟีฟ่า ห้ามเกี่ยวข้องกับวงการฟุตบอลเป็นเวลา 5 ปี เนื่องจากกระทำความผิดอาญาตามพิพากษาของศาลอาญากรุงเทพใต้ เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษาว่านายวรวีร์ มิได้กระทำความผิดแล้ว ตนจะแข้งข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นทั้งหมดพร้อมทั้งคำพิพากษาไปยังฟีฟ่า เพื่อให้พิจารณาเพิกถอนคำสั่งห้ามของฟีฟ่า แต่หากยังไม่ได้รับความเป็นธรรมจากฟีฟ่าคงต้องไปยื่นต่อศาลกีฬาโลกต่อไป ทั้งนี้ยังมีความคิดจะฟ้องฟีฟ่ากลับด้วยเนื่องจากทำให้ชื่อเสียงเสียหาย ซึ่งเรื่องนี้ได้มีการพูดคุยกับทนายที่ประเทศสวิสเซอร์แลนด์บ้างแล้ว
นายนรินท์พงศ์ เผยต่อว่า ต่อข้อซักถามที่ว่าหาก นายวรวีร์พ้นข้อกล่าวหาทั้งหมดแล้วจะกลับเข้ามาในวงการฟุตบอลหรือไม่นั้น ตนมองว่าหากคณะกรรมการบริหารสมาคมฟุตบอลฯชุดใหม่นี้ทำงานได้ดีแล้ว ก็ไม่มีความจำเป็นอะไรที่นายวรวีร์จะกลับมา เพราะที่ผ่านมานายวรวีร์เจ็บปวดมามากแล้ว คงไม่มีกระจิตกระใจที่จะกลับมาทำงานตรงนี้ แต่หากสังคมไทยเรียกร้อง ก็เป็นเรื่องที่นายวรวีร์จะกลับมาพูดคุยเรื่องนี้อีกครั้ง

 

ส่วนกรณีที่สมาคมฟุตบอลฯชุดเก่าสมัย นายวรวีร์ ยังบริหาร ไม่ได้เสียภาษีตั้งแต่ปี 2550-2555 เป็นจำนวน 131 ล้านบาท ทำให้เป็นหนี้ค้างมาถึงบอร์ดสมาคมฟุตบอลฯยุคปัจจุบันนั้น นายนรินท์พงศ์ เผยว่า เงินจำนวนนี้เป็นหนี้ที่อยู่ในนามสมาคมฟุตบอลฯ ไม่ใช่ในนามของนายวรวีร์ ซึ่งเป็นหน้าที่ของสมาคมชุดใหม่ที่จะต้องแก้ปัญหาตรงนี้

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน