ฐิติพันธ์ พ่วงจันทร์ กองกลางกัปตันทีม บีจี ปทุม เปิดใจ หลังต้นสังกัดขยับเข้าใกล้แชมป์โตโยต้า ไทยลีก ครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของสโมสร ทั้งที่เพิ่งเลื่อนชั้น

ฐิติพันธ์ พ่วงจันทร์ ดาวเตะวัย 27 ปี อยู่ในชุดที่ “กระต่ายแก้ว” ตกชั้นครั้งแรกเมื่อฤดูกาล 2018 ก่อนที่ปีถัดมาจะย้ายไปค้าแข้งที่ญี่ปุ่นกับ โออิตะ ทรินิตะ กระทั่งปัจจุบันกลับมาเป็นกำลังหลักในฐานะกัปตันทีม พร้อมช่วยต้นสังกัดนำเป็นจ่าฝูง โตโยต้า ไทยลีก ด้วยสถิติที่ยังไม่แพ้ใคร และนำห่างอันดับ 2 การท่าเรือ เอฟซี ถึง 16 คะแนน ขณะที่เหลืออีก 10 นัด

เกาะติดข่าว กดติดตามข่าวสด
เพิ่มเพื่อน

“ดีใจที่เราเก็บ 3 แต้มได้จากทีมใหญ่อย่างการท่าเรือ และมีลุ้นแชมป์กับเราด้วย ที่สำคัญชัยชนะนัดนี้ทำให้เราเข้าใกล้แชมป์มากขึ้นด้วย อย่างที่บอกการชนะนัดนี้ทำให้เราขยับเข้าใกล้เป้าหมายเรามากขึ้น แต่ยังเหลืออีกหลายเกม เรายังต้องโฟกัสในทุกๆ นัด พยายามเก็บ 3 แต้มให้ได้ทุกนัดเพื่อคว้าแชมป์ให้เร็วที่สุด ถึงตรงนั้นเราถึงจะมั่นใจริงๆ”

“การที่เรามีคะแนนมากกว่าทีมลุ้นแชมป์ด้วยถึง 16 แต้ม ค่อนข้างเกินความคาดหมาย ไม่คิดว่าเราจะนำเยอะขนาดนี้ แต่จริงๆ เราไม่ได้สนใจอะไรมาก เราพยายามโฟกัสทีมเราในทุกๆ นัด แต่พอทีมใหญ่ๆ อย่างการท่าเรือ แบงค็อก และ บุรีรัมย์ สะดุดเยอะ เลยทำให้แต้มของเราโดดหนีไปเยอะ เพราะเราเองไม่พลาด อย่างที่บอก ค่อนข้างเซอร์ไพรส์ที่เรานำ ท่าเรือ ถึง 16 แต้ม แต่ยังไม่ได้วางใจอะไร”

“ตอนที่ทีมเราตกชั้นผู้บริหารคงรู้แล้วว่าปัจจัยอะไรที่ทำให้ทีมตกชั้น พอมาปีนี้เหมือนผู้บริหารแก้ไขทีมได้ตรงจุดมากขึ้น อย่างปีนี้เราได้เสริมกองหลังมาทำให้เราเสียประตูยากขึ้น จากนั้นพอเสียประตูยากขึ้น เราเสริมกองกลาง และกองหน้า ทำให้ทีมลงตัวและมีทีมที่ขนาดใหญ่ขึ้น”

“รวมถึงด้วยฟอร์มของผู้เล่น และแท็กติกของโค้ช (ดุสิต เฉลิมแสน) ด้วย ที่ทำให้เราสู้ได้ทุกทีม ไม่ว่าจะเป็นเกมในบ้าน หรือเกมนอกบ้าน จากปกติที่เราจะเล่นดีเฉพาะในบ้าน และไปเสียแต้มนอกบ้าน แต่ปีนี้ด้วยแท็กติกของโค้ช และตัวผู้เล่น ทำให้เรามีผลงานนอกบ้านที่ดีขึ้น และมีความสม่ำเสมอมากขึ้น ทั้งหมดจึงทำให้เราก้าวกระโดดมาถึงตรงนี้”

“จุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้เรากลายเป็นทีมลุ้นแชมป์ คงเพราะ 4 นัดแรกเราทำได้ดี เราเก็บได้ 10 แต้ม แต่จุดเปลี่ยนของทีมจริงๆ น่าจะเป็นหลังจากช่วงโควิดรอบแรกมากกว่า เราต้องเจอกับทีมใหญ่ทั้ง 3 นัด พอเราเก็บได้ 9 แต้มเต็ม และแซง แบงค็อก ขึ้นไปได้ ทำให้เรามีความมั่นใจว่าปีนี้ เราน่าจะมีสิทธิ์ลุ้นแชมป์เต็มตัว รวมถึงการได้ผู้เล่นใหม่ๆ เข้ามาอย่าง อันเดรส ตูเนซ และ ตังค์ (สารัช อยู่เย็น) หรือแม้กระทั่ง เจนรบ สำเภาดี ทำให้ศักยภาพของเราดีขึ้น และคนอื่นๆ มั่นใจมากขึ้นด้วย”

“ตอนได้แชมป์แบบไม่ใครกับเอสซีจี เมืองทอง กับตอนนี้ต่างกัน ปีนั้นที่ผมได้แชมป์กับ เมืองทอง (2012) ผมมีส่วนร่วมค่อนข้างน้อย แต่พอมาปีนี้ ผมมีส่วนร่วนค่อนข้างเยอะ และลงเล่นเกือบทุกเกม แต่ถ้าถามว่าอยากได้แชมป์ไร้พ่ายอีกครั้งไหม ถ้ามีโอกาสก็อยาก แต่ไม่ได้กดดันตัวเองจนเกินไป เพราะมันยากจริงๆ เอาเป็นว่าเป้าหมายของเราตอนนี้ คือการคว้าแชมป์ให้ได้ก่อน จากนั้นจะเป็นอย่างไร เดี๋ยวเราค่อยมาว่ากัน”

“ส่วนการได้ชูถ้วยแชมป์ในฐานะกัปตันทีม เอาจริงๆ ไม่เคยคิดเลย ที่ผ่านมาผมไม่ใช่นักฟุตบอลที่ได้ถ้วยเยอะอยู่แล้ว ไม่ได้วาดภาพตัวเองชูถ้วยแชมป์ไทยลีกเลย แต่ถ้าวันหนึ่งได้ชูในฐานะกัปตันทีมคงดีเหมือนกัน”

“ตอนที่ทีมตกชั้นแน่นอนว่าเป็นแผลในใจ ผมอยากแก้ตัวให้ทีม อย่างช่วงที่ตกชั้น ผมไม่ได้อยู่ช่วยทีมขึ้นมา เพราะไปเล่นที่ญี่ปุ่น พอกลับมาครั้งนี้ ผมตั้งธงกับตัวเองไว้เลยว่า ทำอย่างไรก็ได้ให้ทีมประสบความสำเร็จมากที่สุด ให้ผู้บริหาร ให้แฟนบอลที่เคยผิดหวังกับเราที่ตกชั้นไป กลับมามีความสุขอีกครั้ง พยายามเต็มที่ และทุ่มเททุกนาทีที่อยู่ในสนามเพื่อทีม”

“สุดท้ายผมอยากขอบคุณแฟนๆ บีจี ที่คอยเชียร์ ถึงแม้ว่าช่วงนี้จะเข้าสนามไม่ได้ แต่ยังคอยสนับสนุนเรา ขอบคุณที่ไม่ทิ้งพวกเราไปไหนจากวันที่ตกชั้นมา จนเรากลับมาลุ้นแชมป์อีกครั้ง ไม่รู้จะพูดอะไร นอกจากคำสัญญาว่า เราจะทำให้ดีที่สุด และคว้าแชมป์ให้เร็วที่สุดเพื่อเป็นของขวัญสำหรับทุกคน”

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน