“คนวงการมวย อิจฉานักฟุตบอลเนอะ เงินเดือนก็มี รายได้ก็แน่นอน ทุกสโมสรได้ฉีดวัคซีนกันหมดแล้ว สมาคมฟุตบอลหาเงินช่วยสโมสรสมาชิก มีทั้งงบพัฒนากีฬาแห่งชาติ สปอนเซอร์หันกลับมามองมวยไทย กีฬาประจำชาติของคนไทยแท้ๆ เหมือนโดนลอยเกาะอยู่กลางทะเล พวกเราคนมวยไม่ต่างอะไรไปจากโรฮิงยา ผู้นำมีก็เหมือนไม่มี”

“แต่เราก็ทนกันมาได้ 30 ปี คนมวยเก่งเนอะมีความอดทนสูงจริงๆ แต่ตอนนี้ผมจะไม่ทนแล้วครับ เพราะลูกหลานนักมวยจะอดตายกันหมดแล้ว” นั่นคือประโยคส่วนหนึ่งใจความจากเฟซบุ๊กของ “เสี่ยโบ๊ท” ณัฐเดช วชิรรัตนวงศ์ โปรโมเตอร์หนุ่ม


และอีกความเห็น จาก สามารถ มะลูลีม อดีตส.ส. กล่าวว่า “ในฐานะที่ผมเป็น คนวงการมวย และนักการเมืองที่ส่งเสริมพัฒนาด้านกีฬามาตลอดชีวิต ผมเห็นใจและเข้าใจกลุ่มนักมวย เทรนเนอร์ เจ้าหน้าที่สนามมวย และกลุ่มผู้ที่ค้าขายอยู่หน้าสนามมวย ต่างได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากวิกฤติโควิด-19 ในครั้งนี้ แต่เรื่องที่น่าเศร้าใจและหดหู่ คือ ไม่มีหน่วยงานใดที่จะหาแนวทางมาเหลียวแล”

“กลุ่มที่ผมได้พูดไว้ในข้างต้น ถ้านับไปแล้วทั่วประเทศ ก็มีไม่ต่ำกว่าหลักแสนครับ เพราะว่ากลุ่มคนเหล่านี้มีรายได้ต่ำ เขาถึงต้องมาประกอบอาชีพนี้ ถ้าภาครัฐ (ได้แต่คิด แต่ไม่ทำอะไรเลย) ก็เหมือนที่ว่า No action talk only ในอนาคตศิลปะมวยไทย ที่เป็นมรดกตกทอด มาจากบรรพบุรุษก็จะจางหายไป และจะส่งผลกระทบต่อรายได้การท่องเที่ยวของประเทศไทย ไม่มากก็น้อย”

“ผมเปรียบเทียบแบบที่ชัดเจนที่สุด ในประเทศญี่ปุ่นมีประชาชนติดโควิดมากกว่าไทย แต่มีการบริหารจัดการแข่งขันชกมวยไทย และมีคนผู้เข้าชมได้ แปลกแต่จริง เพราะอะไร ทางการญี่ปุ่นจะเข้มงวดในการบังคับใช้กฎหมาย หากไม่ปฎิบัติตามก็จะถูกลงโทษสถานหนัก

ผมวิงวอนภาครัฐช่วยผ่อนผันหาวิธี และลงมือทันทีด้วยครับ เอาใจคุณไปนั่งอยู่ในใจของคนกลุ่มนี้ พวกคุณจะได้มีความรู้สึกร่วมด้วย และ ศบค. อย่าไปนั่งเทียนหลับตา นึกเองเออเองไปว่า อาชีพนักมวย พวกเขาจะมีเงินมีทองสำรองไว้เพียงพอ บอกได้เลยครับ…มีแต่ลำบาก”

นี่คือเสียงส่วนหนึ่งจาก คนวงการมวย ที่คงไม่ต้องอธิบายเพิ่มเติม
———
บทความ คอลัมน์ เลาะสนาม ทีมกีฬาข่าวสด

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน