เป็นที่ทราบกันดี สำหรับศึกลูกหนัง ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป หรือ ยูโร 2021 เกมรอบ 16 ทีมสุดท้าย “สิงโตคำราม” ทีมชาติอังกฤษ จะเผชิญหน้ากับ “อินทรีเหล็ก” เยอรมนี ในวันอังคารที่ 29 มิถุนายน 64 เป็นอีกครั้งที่ทั้งคู่ต้องสู้กันเพื่อช่วงชิงชัยชนะผ่านเข้ารอบต่อไป

แม้จะเป็น”เกมกีฬา” แต่หากศึกษากันตามหลักประวัติศาสตร์ การขับเคี่ยวเชิงลูกหนัง ให้ได้อรรถรสในการโคจรมาพบกันของทั้งสองชาติ อังกฤษ VS เยอรมัน นั้นคงไม่ต่างกับสงครามแห่งศักดิ์ศรี ในความรู้สึกเฉกเช่น “อังกฤษ พบกับ สกอตแลนด์” ปานนั้นกันเลยทีเดียว

สภาพในมหานครลอนดอน อังกฤษ หลังโดน กองทัพอากาศเยอรมัน ถล่ม ในช่วงสงครามโลก ครั้งที่ 2

ในอดีตนับตั้งแต่ เยอรมัน กลายเป็นชาติขึ้นมาจากการรวมตัวแคว้นต่างๆของปรัสเซีย ด้วยมหาบุรุษ จอมพล ออตโต้ ฟอน บิสมาร์ก อัครมหาเสนาบดี ผู้จงรักภักดีต่อพระเจ้าวิลเฮล์มที่ 1 เจ้าของวาทะ และนโยบาย “เลือดและเหล็ก” (ช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1) ต่อเนื่องมาถึงยุค สงครามโลก ครั้งที่ 2 ที่มี จอมเผด็จการบ้าอำนาจอย่างท่านฟูเรอร์ “อดอล์ฟ ฮิตเลอร์” หวังสถาปนาฟื้นฟู อาณาจักรไรซ์ ที่ 3 ของเยอรมัน ให้ยิ่งใหญ่เหมือนในอดีต เยอรมันจึงถือเป็นชาติที่ถูกจับตามากสุดประเทศหนึ่งในทวีปยุโป

 

ขณะที่มหาอำนาจอังกฤษ เอง ด้วยชื่อชั้น มีศักยภาพยิ่งใหญ่ทางทะเลครอบครองดินแดนไปทั่วโลก จนได้ฉายา “ดินแดนพระอาทิตย์ไม่ตกดิน” ทว่ากองทัพเรืออันเกรียงไกรตั้งแต่ยุคสมัย จอมพลเรือ เนลสัน ก็ต้องมาเสียท่าหมดพิษสงลงเพราะ เรืออู (เรือดำน้ำ ยู-โบท) เพชรฆาตใต้น้ำอาวุธยุคใหม่ในสงครามโลกครั้งที่ 1 ซึ่งคาบเกี่ยวถึงสงครามโลก ครั้งที่ 2 (ถ้าฝ่ายสัมพันธมิตรไม่ดึง อเมริกา เข้ามาช่วย บางทีโฉมหน้าของสงครามโลกทั้งสองครั้งอาจเปลี่ยนไป)

เรือ อู (เรือดำน้ำ) เยอรมัน ตระเวณ จมเรือบรรทุกสินค้า ของอังกฤษ และฝ่ายสัมพันธมิตร ในช่วงสงครามโลกทั้งสองครั้ง

หนำซ้ำ ช่วงต้นๆครึ่งแรกของ World War Two (สงครามโลกครั้งที่ 2) ฮิตเลอร์ ก็เคยเปิดศึกยุทธการ “สิงโตทะเล” (Operation Sealion)ส่งกองทัพอากาศ ลุฟวาฟเฟ่ (Luftwaffe)อันยิ่งใหญ่ของ จอมพล เฮอร์มัน เกอร์ริ่ง ไปถล่มลอนดอน เปิดศึก “แบตเทิล ออฟ บริเทน” (Battle of Britain)แต่ด้วยผู้นำมากความสามารถอย่าง เซอร์วินสตัน เชอร์ชิล นายกรัฐมนตรีผู้ชอบชู 2 นิ้ว(สัญญลักษณ์ วิคตอรี่) และวาทะสวยหรูปลุกใจ (เราจะทำตามสัญญา) จึงนำพาให้อังกฤษ อดทนต่อการถูกทิ้งบอมบ์ทั้งวันทั้งคืน และพลิกเกมกลับมาเป็นผู้ชนะในบั้นปลายสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้อย่างงดงาม

เยอรมัน เปิดยุทธการ ซีไลออน ถล่มเกาะอังกฤษ ชาวเมืองลอนดอน ต้องหลบภัยอยู่ในอุโมงค์ใต้ดิน ช่วงสงครามโลก ครั้งที่ 2

สองชาติเยอรมัน-อังกฤษ จึงเป็นไม้เบื่อไม้เมากันตลอดมา

อย่างไรก็ตาม ถึงทั้งสองชาติจะทำสงครามขับเคี่ยวกันมาอย่างดุเดือด แต่ก็ยังมี เหตุการณ์อันน่าประทับใจเกิดขึ้น ซึ่งถือเป็น มิตรภาพท่ามกลางควันปืน ที่ควรรำลึกและจดจำ

ในช่วงต้นสงครามโลกครั้งที่ 1 (ค.ศ.1914-1918) เหตุการณ์แนวรบตะวันตกไม่เปลี่ยนแปลง ในสงครามสนามเพลาะ ชายแดนเบลเยี่ยม บริเวณเทือกเขา “เอสน์ วัลเลย์” (Aisne valley)กองทัพอังกฤษ ตรึงกำลังต่อสู้กับ เยอรมัน มานานตลอด 5 เดือน ในคืนคริสต์มาสอีฟ ทหารอังกฤษได้ยินฝ่ายตรงข้ามร้องเพลงปลุกใจ พวกตนจึงเริ่มร้องเพลงขึ้นบ้างจนเสียงกระหึ่มไปทั่วสนามเพลาะสองฝั่งตลอดทั้งคืน ถึงรุ่งเช้าพระอาทิตย์ขึ้น วันที่ 25 ธันวาคม 1914 ซึ่งเป็นวัน คริสต์มาส ทหารกล้าเยอรมันลอดแนวรั้วลวดหนามเข้าไปทักทายทหารอังกฤษด้วยคำว่า “เมอร์รี่ คริสต์มาส” และนั่นจึงเป็นจุดเริ่มต้นที่มาของ มิตรภาพระหว่างรบที่เรียกว่า “วันพักรบคริสต์มาส” (Christmas Truce)จากนั้นทั้งสองฝ่ายจึงหยุดรบชั่วคราว มีการแบ่งปันอาหาร แลกเหล้า บุหรี่ ช็อกโกแลต รวมไปจนถึง นำกระดาษแข็งมาขยำรวมกันปั้นเป็นก้อนฟุตบอล เพื่อเล่นกีฬา “กระชับมิตร” ท่ามกลางเสียงเชียร์ทหารทั้งสองฝ่ายรวมได้กว่าหนึ่งหมื่นคน

เมื่อ ผบ.กองทัพทั้งสองฝ่ายทราบเรื่อง จึงมีการเจรจาหยุดยิงชั่วคราว เป็นเวลา 24 ชม. จนถึงเวลา 08.30 น.ของวันรุ่งขึ้น (26 ธ.ค.1914) มีการมอบเบียร์ถังใหญ่จากฝั่งนายทหารเยอรมันให้แก่ฝ่ายอังกฤษ เป็นข้อตกลงที่รู้จักกันในนาม “ข้อตกลงพักรบวันคริสต์มาส ปี 1914” รวมทั้งระหว่างนั้น ยังอนุญาตให้มีการเก็บศพทหารผู้เสียชีวิตในสนามรบกันอีกด้วย

มีจดหมายหลักฐานจากทหารอังกฤษ หน่วยแพทย์ทหารบกรายหนึ่ง ส่งกลับไปให้ครอบครัว ยืนยันว่า เขาได้ลงสนามฟาดแข้งกระชับมิตรนัดนั้น ซึ่งอังกฤษ แพ้ เยอรมัน 2-3 ประตู ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าว เป็นเรื่องที่ถูกกล่าวขวัญถึง ท่ามกลางควันไฟของสงครามอันทารุณและโหดร้ายตลอดระยะเวลา 107 ปีที่ผ่านมา นับตั้งแต่วันนั้น…

ปัจจุบัน แม้สงครามสงบ และทั้งคู่กลับมาเป็นพันธมิตรกันในกลุ่มสหภาพยุโรป (ล่าสุด อังกฤษ เพิ่งถอนตัวจาก กลุ่มอียู เมื่อต้นปี 2020) แต่ด้วยความรู้สึกและศักดิ์ศรีสองชาติ อังกฤษ กับ เยอรมัน ก็ยังกลายเป็นศัตรูคู่อาฆาต ไม้เบื่อไม้เมากันมาตลอด
ยิ่งสงครามเปลี่ยนรูปแบบจากสนามรบ ไปเป็นเกมกีฬา โดยเฉพาะเชิงลูกหนัง อย่าง”ฟุตบอล” ยิ่งถือเป็น เรื่องของ ศักดิ์ศรีที่ยอมกันไม่ได้

 

ศึกฟุตบอล ยูโร 2020 รอบ 16 ทีมสุดท้าย ครั้งนี้ การโคจรมาพบกัน ถือเป็นบิ๊กแมตช์ที่ทั่วโลกรอคอย หากไม่นับเกมอุ่นเครื่องต่างๆนับครั้งไม่ถ้วน “สิงโตคำราม ปะทะ อินทรีเหล็ก” ครั้งนี้ ถือเป็นรอบที่ 8 แล้ว ในรายการระดับเมเจอร์อย่าง เวิลด์ คัพ หรือ ศึกยูโร

ย้อนไปใน ฟุตบอลโลก 1966 รอบชิงชนะเลิศ อังกฤษ ฝังรอยแค้นให้ เยอรมนี ด้วยชัยชนะ 4-2 ประตู พร้อมส่งให้พวกเขากลายเป็นแชมป์โลก ครั้งแรกและครั้งเดียวจนถึงปัจจุบัน

 

สถิติการพบกัน 7 ครั้งก่อนหน้า มีเพียงนัดชิง เวิลด์ คัพ 1966 ครั้งเดียวที่ อังกฤษ เป็นผู้ชนะในรอบน็อคเอาต์ ทว่าจากนั้นเกมที่เหลือ กลับถูก “อินทรีเหล็ก” เขี่ยตกรอบหมดสิ้น

ในศึกยูโร 1996 รอบตัดเชือก อังกฤษ เป็นเจ้าภาพ แต่ดันแพ้จุดโทษ เยอรมนี 5-6 หลังเสมอกัน 1-1 ในเวลาปกติ ชวดเข้าชิง สร้างความเจ็บช้ำแก่แฟนบอลผู้ดีทั่วประเทศ

ถัดมา ฟุตบอลโลก 2010 รอบ 16 ทีมสุดท้าย ก็ยังเป็น เยอรมนี ที่โชว์ฟอร์มเหนือกว่า ถล่ม อังกฤษ ไปด้วยสกอร์ 4-1 ถีบ “สิงโตคำราม” ตกรอบแบบเจ็บปวดอีกครั้ง แต่ที่แสบสันต์ยิ่งกว่านั้น คือประตูที่ แฟรงค์ แลมพาร์ด ส่งบอลข้ามเส้นประตูไปแล้ว ทว่ายุคนั้นยังไม่มีภาพช้า VAR จึงทำให้ผู้ตัดสินผิดพลาดไม่ให้ประตูนั้นแก่อังกฤษ

วันเวลาแห่งการรอคอย ศึกลูกหนังคู่อาฆาต “แบตเทิล ออฟ บริเทน” ระหว่าง “อินทรีเหล็ก” เยอรมัน จะโคจรมาพบกับ “สิงโตคำราม” อังกฤษ ถึงสนามเวมบลี่ย์ มหานครลอนดอน ในฟุตบอล ยูโร 2020 รอบ 16 ทีมสุดท้าย ครั้งนี้
ใครจะอยู่ ใครจะไป เป็นเรื่องที่แฟนบอลทั่วทั้งโลกต้องลอยคอ (รอคอย) เฝ้าติดตามกันหน้าจอ ในยุควิกฤตไวรัสโควิด คืนวันอังคารที่ 29 มิถุนายน 64 (ศกนี้) เวลา 23.00น. ตามเวลาประเทศไทย

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน