ลิเวอร์พูลนำจ่าฝูงยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก ด้วยผลงานชนะรวด หลังเปิดบ้านอัดไบเออร์ เลเวอร์คูเซน ขณะที่สปอร์ติง ลิสบอน เป็นฝ่ายถล่มแมนเชสเตอร์ ซิตี้
การแข่งขันฟุตบอลยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก ฤดูกาล 2024-25 รอบลีก เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน “หงส์แดง”ลิเวอร์พูล จากอังกฤษ เปิดสนามแอนฟิลด์ รับการมาเยือนของ “ห้างขายยา”ไบเออร์ เลเวอร์คูเซน จากเยอรมนี
เกมนี้เจ้าบ้านจัด โคดี กักโป, โมฮาเหม็ด ซาลาห์, หลุยส์ ดิอาซ ลงสนาม ขณะที่ทีมเยือนใช้งาน วิกเตอร์ โบนิเฟซ, โฟลเรียน เวียร์ตซ์, กรานิต ชากา
ครึ่งแรกนาที 43 โอกาสเป็นของฝั่งลิเวอร์พูล โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ได้บอลทางริมเส้นด้านขวา ก่อนหาช่องเลี้ยงเลาะเข้าเขตโทษแล้วสับไกยิงแฉลบขากองหลังเล็กน้อย ลูคัส ฮราเดสกี รับกระฉอกเล็กน้อยก่อนตามไปรับให้อยู่มืออีกที
หลังจากนั้นไม่กี่วินาที เจเรมี ฟริมปง สบโอกาสชิงจังหวะแย่งบอลชนะกองหลังแล้วหลุดเข้าไปยิงในเขตโทษลูกเสียบตาข่าย แต่ฟริมปงทำแฮนด์บอลไปก่อนแล้ว เลเวอร์คูเซนจึงไม่ได้ประตู
นาที 45+2 เคอร์ติส โจนส์ วางบอลให้ โคดี กักโป รับได้แล้วมีพื้นที่กระชากเข้าทางด้านซ้ายของเขตโทษ ก่อนยิงมุมแคบไปติดเซฟ ลูคัส ฮราเดสกี ลิเวอร์พูลจึงไม่ได้ประตู และจบครึ่งแรกเสมอกันอยู่ 0-0
ครึ่งหลังนาที 61 เคอร์ติส โจนส์ ได้บอลแล้วแทงทะลุช่องแบบเหมาะเหม็งให้ หลุยส์ ดิอาซ หลุดเดี่ยวเข้าไปงัดลูกข้ามนายทวารเข้าสู่ก้นตาข่าย ลิเวอร์พูลออกนำ 1-0
นาที 63 โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ได้บอลบริเวณริมเขตโทษด้านขวาแล้วเปิดเร็วไปเสาสองให้ โคดี กักโป ที่รออยู่โล่งๆ ทะยานมาโขกเสียบตาข่าย แม้ผู้ตัดสินจะเป่าล้ำหน้าในทีแรก แต่วีเออาร์ช่วยยืนยันว่าลูกนี้ไม่ล้ำ ลิเวอร์พูลทิ้งห่าง 2-0
นาที 72 เป็นโอกาสของลิเวอร์พูลอีกครั้ง โคดี กักโป ถูกกองหลังสกัดบอลในเขตโทษแล้วลูกกระฉอกมาเข้าทางปืน อเล็กซิส แม็กอัลลิสเตอร์ ได้ยิงเหน่งๆ ลูคัส ฮราเดสกี ยังเซฟไว้ได้เยี่ยม
นาที 83 โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ได้บอลทางด้านขวาแล้วเปิดไปเสาสอง หลุยส์ ดิอาซ ชิงจังหวะเล่นชนะกองหลังแล้วพักบอลลงมาได้ ก่อนจะยิงเข้าไปไม่มีพลาด ลิเวอร์พูลทิ้งห่าง 3-0
นาที 85 เลเวอร์คูเซนพลาดตีไข่แตก พาทริก ชิก พาบอลลุยเข้าเขตโทษแล้วสับไกเต็มข้อ ควิวิน เคลเลเฮอร์ พุ่งปัดมาเข้าทาง โฟลเรียน เวียร์ตซ์ ยิงซ้ำอีกที เคลเลเฮอร์ก็ยังใช้ขาเซฟได้อีก
นาที 87 เป็นโอกาสของเลเวอร์คูเซนอีกครั้ง โฟลเรียน เวียร์ตซ์ ส่งบอลให้ โรเบิร์ต อันดริช แตะมายิงบริเวณหน้าเขตโทษ ควิวิน เคลเลเฮอร์ ยังเหนียวเซฟไว้ได้อีกครั้ง
นาที 90+2 ดาร์วิน นูนเญซ พาบอลบุกเข้าเขตโทษแล้วสับไกยิงติดกองหลัง แต่ลูกยังเด้งมาเข้าเท้า หลุยส์ ดิอาซ ยิงซ้ำโล่งๆ ไม่มีพลาด กลายเป็นแฮตทริกของตัวเอง และทำให้ลิเวอร์พูลชนะขาดลอย 4-0 “หงส์แดง” จึงเป็นทีมเดียวที่ชนะรวดหลังเตะไป 4 แมตช์
ทางด้าน “ราชันชุดขาว”เรอัล มาดริด แชมป์เก่าจากสเปน เปิดสนามเอสตาดิโอ ซานติอาโก เบร์นาเบว แพ้ต่อ “ปีศาจแดงดำ”เอซี มิลาน จากอิตาลี 1-3
เจ้าบ้านได้ประตูจาก วินิซิอุส จูเนียร์ นาที 23 (จุดโทษ) ส่วนทีมเยือนได้จาก มาลิก เจา นาที 12, อัลบาโร โมราตา นาที 39, ทิจจานี ไรน์เดอร์ส นาที 73
ขณะที่ สปอร์ติง ลิสบอน จากโปรตุเกส เปิดสนามเอสตาดิโอ โชเซ อัลวาลาเด ไล่ถล่ม “เรือใบสีฟ้า”แมนเชสเตอร์ ซิตี้ จากอังกฤษ 4-1
เจ้าบ้านได้ วิกตอร์ เยอเคเรส ทำแฮตทริกนาที 38, 49 (จุดโทษ) และ 80 (จุดโทษ) อีกประตูได้จาก มักซิมิเลียโน อเราโฮ นาที 46 ส่วนทีมเยือนได้จาก ฟิล โฟเดน นาที 4 โดยแมนฯ ซิตี้ยังได้จุดโทษด้วย เออร์ลิง ฮาลันด์ ยิงพลาดนาที 69
ทั้งนี้ นี่เป็นนัดสุดท้ายที่ รูเบน อโมริม ทำหน้าที่กุนซือสปอร์ติงคุมทัพลงเตะในแชมเปียนส์ ลีก โดยเจ้าตัวมีกำหนดย้ายไปเริ่มงานผู้จัดการทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทีมอังกฤษอีกราย ตั้งแต่วันที่ 11 พฤศจิกายนเป็นต้นไป
ผลคู่อื่น พีเอสวี (เนเธอร์แลนด์) ชนะ จิโรนา (สเปน) 4-0, สโลวาน บราติสลาวา (สโลวะเกีย) แพ้ ดินาโม ซาเกร็บ (โครเอเชีย) 1-4, ลีลล์ (ฝรั่งเศส) เสมอ ยูเวนตุส (อิตาลี) 1-1
โบรุสเซีย ดอร์ตมุนด์ (เยอรมนี) ชนะ สตวร์ม กราซ (ออสเตรีย) 1-0, เซลติก (สกอตแลนด์) ชนะ ไลป์ซิก (เยอรมนี) 3-1, โบโลญญา (อิตาลี) แพ้ โมนาโก (ฝรั่งเศส) 0-1
อันดับบนตารางคะแนนล่าสุด (เฉพาะ 8 อันดับแรก)
1. ลิเวอร์พูล (ลงเตะ 4 นัด, 12 คะแนน)
2. สปอร์ติง ลิสบอน (ลงเตะ 4 นัด, 10 คะแนน)
3. โมนาโก (ลงเตะ 4 นัด, 10 คะแนน)
4. โบรุสเซีย ดอร์ตมุนด์ (ลงเตะ 4 นัด, 9 คะแนน)
5. แอสตัน วิลลา (ลงเตะ 3 นัด, 9 คะแนน)
6. แมนเชสเตอร์ ซิตี้ (ลงเตะ 4 นัด, 7 คะแนน)
7. แบรสต์ (ลงเตะ 3 นัด, 7 คะแนน)
8. อินเตอร์ มิลาน (ลงเตะ 3 นัด, 7 คะแนน)