อิตาลีผ่านเข้าสู่รอบน็อกเอาต์ชิงแชมป์ยูฟ่า เนชันส์ ลีก หลังบุกเชือดเบลเยียม ขณะที่อังกฤษถล่มกรีซขาดลอย ทำให้กลับมาเป็นฝ่ายได้เปรียบในการลุ้นเลื่อนชั้น

การแข่งขันฟุตบอลยูฟ่า เนชันส์ ลีก 2024-25 เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน ลีกเอ กลุ่ม 2 “ปีศาจแดง”เบลเยียม เปิดสนามสตาด รัว โบดวง รับการมาเยือนของ “อัซซูรี”อิตาลี

เกมนี้เจ้าบ้านส่ง โรเมลู ลูกากู, โลอิส โอเปนดา, เลอันโดร ทรอสซาร์ด ลงสนาม ขณะที่ทีมเยือนนำโดย มาเตโอ เรเตกี, นิโกโล บาเรลลา, ดาวิเด ฟรัตเตซี

นาที 11 นิโกโล บาเรลลา ทำชิ่งให้ โจวานนี ดิ ลอเรนโซ หลุดเข้าทางด้านขวาของเขตโทษ ก่อนที่ดิ ลอเรนโซ จะจ่ายลูกลอดขากองหลังให้ ซานโดร โตนาลี สอดมายิงระยะเผาขนไม่เหลือซาก อิตาลีนำ 1-0 และเป็นประตูเดียวที่เกิดขึ้นในครึ่งแรก

ครึ่งหลังนาที 54 อิตาลีสบโอกาสสวนกลับเร็ว ดาวิเด ฟรัตเตซี จ่ายบอลจากครึ่งสนามขึ้นหน้าแล้วกองหลังเบลเยียมสกัดไม่อยู่ มาเตโอ เรเตกี จึงได้หลุดเข้าไปถึงเขตโทษแล้วพยายามบรรจงยิง คูน คาสเตลส์ เซฟไว้ได้แบบหวุดหวิด

นาที 57 โลอิส โอเปนดา เปิดบอลเข้ากลางแล้วแนวรับอิตาลีโหม่งสกัดไม่ดีนักไปเข้าทาง เลอันโดร ทรอสซาร์ด ตวัดยิงสวนทันที จานลุยจิ ดอนนารุมมา พุ่งปัดทิ้งไม่ให้เบลเยียมตีเสมอได้

นาที 61 เบลเยียมมีลุ้นประตูอีกครั้ง เลอันโดร ทรอสซาร์ด แทงลูกเข้าพื้นที่ด้านขวาของเขตโทษให้ โลอิส โอเปนดา ยิงมุมแคบ จานลุยจิ ดอนนารุมมา เซฟไว้ได้อีกครั้ง

นาที 83 จากลูกเตะมุมฝั่งซ้าย บอลถูกจ่ายสั้นให้ เลอันโดร ทรอสซาร์ด รับแล้วหยอดเข้ากลาง เวาต์ ฟาส จึงสบโอกาสขึ้นโขกบอลไปชนเสาออกหลัง เบลเยียมจึงตีเสมอไม่สำเร็จ จบเกมอิตาลีชนะไป 1-0

อีกคู่ในกลุ่มเดียวกัน ฝรั่งเศส เสมอ อิสราเอล 0-0

ทำให้ผ่านไป 5 นัด อิตาลีนำจ่าฝูง โดยมี 13 คะแนน ขณะที่ฝรั่งเศสยึดอันดับ 2 เก็บไป 10 คะแนน ทั้งคู่การันตีเข้ารอบน็อกเอาต์แน่นอนแล้ว นัดสุดท้ายที่ทั้งคู่จะเจอกันเองมีผลเพียงการแย่งแชมป์กลุ่มเท่านั้น

ส่วนอันดับ 3 เบลเยียม (4 คะแนน) และอันดับ 4 อิสราเอล (1 คะแนน) ต้องวัดกันนัดสุดท้ายเพื่อแย่งจบอันดับ 3 ซึ่งจะทำให้รอดจากการตกชั้นแบบทันทีเสียก่อน แล้วค่อยไปลุ้นอีกรอบในการเพลย์ออฟหนีตกชั้น

(Action Images via Reuters/Paul Childs)

ด้านลีกบี กลุ่ม 2 กรีซเปิดสนามโอลิมเปียโก สตาดิโอ สปีรอส หลุยส์ รับการมาเยือนของ “สิงโตคำราม”อังกฤษ รองแชมป์ยูโร 2024

เจ้าบ้านใช้ผู้เล่นอย่าง วานเจลิส พาฟลิดิส, อนาสตาซิออส บาคาเซตาส, จอร์จอส มาซูราส ส่วนทีมเยือนดร็อป แฮร์รี เคน เป็นตัวสำรอง แล้วเลือกส่ง โอลลี วัตกินส์, จูด เบลลิงแฮม, โนนี มาดูเอเก ลงสนาม

นาที 7 จูด เบลลิงแฮม ตวัดบอลให้ โนนี มาดูเอเก สปีดมารับแล้วเลี้ยงจี้เข้าพื้นที่เขตโทษ ก่อนตบเข้ากลางให้ โอลลี วัตกินส์ ยิงเข้าประตูไป อังกฤษนำเมื่อจบครึ่งแรก 1-0

ครึ่งหลังนาที 54 โนนี มาดูเอเก กระชากบอลออกไปทางขวาแล้วเปิดเข้ากลางให้ จูด เบลลิงแฮม โหม่งหนีมือผู้รักษาประตูไปชนเสา อังกฤษจึงไม่ได้ประตูเพิ่ม

นาที 77 จูด เบลลิงแฮม รับบอลที่เพื่อนจ่ายมาให้แล้วกระชากจากครึ่งสนามขึ้นมายิงบริเวณหน้าเขตโทษ ลูกพุ่งชนเสาเด้งมาโดนขา โอดิสเซอาส วลาโคดิมอส กระดอนเข้าประตูตัวเองอย่างโชคร้าย อังกฤษบวกสกอร์เพิ่มเป็น 2-0

นาที 83 มอร์แกน กิบส์-ไวต์ ได้บอลทางด้านขวาของเขตโทษแล้วจ่ายเข้ากลาง เคอร์ติส โจนส์ จึงยิงแบบดีดลูกส้นไขว้หลังเข้าไปอย่างเหนือชั้น เป็นประตูแรกในการลงเล่นทีมชาติชุดใหญ่นัดแรกของตัวเอง และทำให้อังกฤษชนะไป 3-0

อีกคู่ในกลุ่มเดียวกัน ไอร์แลนด์ ชนะ ฟินแลนด์ 1-0

ทำให้ผ่านไป 5 นัด อังกฤษแซงกรีซขึ้นมานำจ่าฝูง โดยทั้งคู่มี 12 คะแนนเท่ากัน แต่อังกฤษมีเฮดทูเฮดที่ดีกว่า ทั้งคู่ยังต้องลุ้นนัดสุดท้ายในการแย่งตำแหน่งแชมป์กลุ่ม เพื่อได้เลื่อนชั้นสู่ลีกเอแบบอัตโนมัติ ขณะที่รองแชมป์กลุ่มจะต้องไปเพลย์ออฟแย่งเลื่อนชั้นอีกรอบ

ส่วนไอร์แลนด์มี 6 คะแนน การันตีจบอันดับ 3 ได้ไปเล่นต่อรอบเพลย์ออฟหนีตกชั้น ขณะที่ฟินแลนด์ยังไม่มีคะแนน ตกชั้นในฐานะบ๊วยกลุ่มแล้ว

ผลคู่อื่น ลีกบี : คาซัคสถาน แพ้ ออสเตรีย 0-2, สโลวีเนีย แพ้ นอร์เวย์ 1-4 ลีกซี : อาร์เมเนีย แพ้ หมู่เกาะแฟโร 0-1, นอร์ทมาซิโดเนีย ชนะ ลัตเวีย 1-0

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน