เมื่อเวลา 09.51 น.วันที่ 22 ต.ค. สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินโดยรถยนต์พระที่นั่งมายังพระเมรุมาศ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง ทรงร่วมซ้อมริ้วขบวนพระบรมราชอิสสริยยศพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ริ้วขบวนที่ 4 เชิญพระบรมอัฐิโดยพระที่นั่งราเชนทรยานและเชิญพระบรมราชสรีรางคารโดยพระที่นั่งราเชนทรยานน้อย จากพระเมรุมาศเข้าสู่พระบรมมหาราชวัง ซึ่งเป็นริ้วขบวนในวันที่ 27 ต.ค.2560 และริ้วขบวนที่ 5 เชิญพระบรมอัฐิโดยพระที่นั่งราเชนทรยานจากพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ขึ้นประดิษฐานที่พระวิมาน บนพระที่นั่งจักรมหาปราสาท ซึ่งเป็นริ้วขบวนในวันที่ 29 ต.ค.2560 โดยทั้งสองริ้วขบวนนี้เป็นการซ้อมพื้นที่จริงเป็นครั้งแรก

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าบรรยากาศ บริเวณโดยรอบท้องสนามหลวงและพระบรมมหาราชวัง ตั้งแต่ช่วงเช้ามืดที่ผ่านมา มีประชาชนจำนวนมาก ทยอยเดินทางมาชม การซ้อมใหญ่ริ้วขบวนพระบรมราชอิสริยยศงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ริ้วขบวนที่ 4 โดยประชาชนหลั่งไหลมาเฝ้าชมอย่างต่อเนื่องจนเต็มพื้นที่ ด้านหน้าศาลฎีกา ยาวไปจนถึงบริเวณด้านหน้าศาลหลักเมือง

พล.ต.ณัฐวัฒน์ อัคนิบุตร ที่ปรึกษาคณะกรรมการริ้วขบวนพระบรมราชอิสริยยศฯ ดำเนินการฝึกซ้อมตามหมายกำหนดการ โดยสมมุติขั้นตอนต่างๆ เสมือนวันจริงว่า เริ่มในเวลา 07.50 น.ดังต่อไปนี้ เมื่อสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จขึ้นพระเมรุมาศประทับพระราชอาสน์ที่ข้างพระจิตกาธาน พร้อมพระบรมวงศ์ เจ้าพนักงานภูษามาลา เปิดผ้าเยียรบับคลุมพระบรมอัฐิออก ทรงจุดธูปเทียนเครื่องราชสักการะพระบรมอัฐิ แล้วสรงด้วยน้ำพระสุคนธ์ ทรงจุดธูปเทียนเครื่องทองน้อยสำหรับพระบรมอัฐิบูชาพระสงฆ์ ทรงทอดผ้าไตรสามหาบวางบนผ้าเยียรบับคลุมพระบรมอัฐิที่พระจิตกาธาน ครั้งละ 1 ไตร ประทับพระราชอาสน์ พระสงฆ์ขึ้นสดับปกรณ์ครั้งละ 1 รูป จนครบ 9 ไตร 9 รูป

จากนั้นทรงเก็บพระบรมอัฐิ จุ่มน้ำพระสุคนธ์ในทองคำลงยา แล้วทรงวางในพระโกศทองคำลงยาประดับเพชร จำนวน 6 พระโกศ เจ้าพนักงานภูษมาลาประมวลพระบรมราชสรีรางคาร ลงในพระผอบโลหะปิดทองพักไว้ในพระเมรุมาศ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ จะพระราชทานพระโกศบรรจุพระบรมอัฐิแก่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี และทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี

เมื่อทั้งสามพระองค์ทรงรับแล้ว สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพนักงานภูษามาลาเชิญพระโกศพระบรมอัฐิ 6 พระโกศลงจากพระเมรุมาศไปยังพระที่นั่งทรงธรรม และเชิญประดิษฐานในบุษบกเหนือพระแท่นแว่นฟ้า ทรงจุดธูปทียนเครื่องทองน้อยและเครื่องราชสักการะบูชาพระบรมอัฐิ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จฯ ไปทรงถวายโตกภัตตาหารสามหาบ 9 ชุด ต่อมาทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระราชวงศ์ประเคน ระหว่างพระสงฆ์กำลังฉัน ด้านนอกจะเริ่มตั้งริ้วขบวนพระบรมราชอิสริยยศ ริ้วขบวนที่ 4 เชิญพระที่นั่งราเชนทรยานจอดที่หน้าพระที่นั่งทรงธรรม ตามด้วยพระราเชนทรยานน้อย นำริ้วตั้งอยู่ที่จุดศาลาลูกขุนที่ 1-4

สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวถวายเครื่องสังเค็ดงานพระเมรุมาศถวายพระเพลิงพระบรมศพแด่สมเด็จพระราชาคณะ ซึ่งจะเดินเข้ามารับอีก 31 รูป แล้วทรงยืนประเคนเครื่องสังเค็ดแด่พระราชาคณะ ซึ่งจะเดินเข้ามารับอีก 31 รูป จนครบ 40 รูป ทรงหลั่งทักษิโณทก พระสงฆ์ถวายอนุโมทนา ถวายอดิเรก ออกจากพระที่นั่ง เจ้าหน้าที่นิมนต์พระสงฆ์อีก 30 รูป ขึ้นนั่งยังอาสน์สงฆ์ สวดมาติกา จบ เจ้าพนักงานลาดพระภูษาโยง เสด็จฯ ไปทรงทอดผ้าไตร เที่ยวละ 15 ไตร จำนวน 2 ครั้ง

สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพนักงานภูษามาลาเชิญพระโกศพระบรมอัฐิพระโกศไปประดิษฐาน ณ พระที่นั่งราเชนทรยาน และเชิญพระผอบพระบรมราชสรีรางคารประดิษฐานในพระที่นั่งราเชนทรยานน้อย การนี้พระบรมอัฐิอีก 5 พระโกศ จะเชิญโดยรถยนต์พระที่นั่งไปประดิษฐานล่วงหน้า ณ พระแท่นสุวรรณเบญจดล ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท

จากนั้นเจ้าพนักงานรัวกรับครั้งที่ 1 เพื่อเตรียมขบวน เมื่อรัวกรับครั้งที่ 2 จบลงดร.จิรายุ อิศรางกูร ณ อยุธยา เลขาธิการพระราชวัง กราบบังคมทูลเชิญสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีเสด็จฯ ร่วมในริ้วขบวนและขอพระราชทานพระราชานุญาตยาตราริ้วขบวน พร้อมแล้วรัวกรับครั้งที่ 3 ฟังสัญญาณ “หน้าเดิน” จากผู้คุมริ้วขบวน วงดุริยางค์เริ่มบรรเลงพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร จำนวน 4 เพลง ประกอบด้วย เพลงมาร์ชราชวัลลภ ริ้วขบวนที่ 4 เริ่มยาตราในการซ้อมวันนี้เวลา 10.45 น. ใช้เส้นทางจากถนนกลางสนามหลวง-ถนนราชดำเนินใน-ถนนหน้าพระลาน-เข้าประตูวิเศษไชยศรี พระบรมมหาราชวัง ระยะทาง 1,074 เมตร ใช้เวลา 30 นาที เดินตามจังหวะเสียงกลองโดยการเดินปกติ จัดกำลังพลจำนวน 834 นาย

ในริ้วขบวนที่ 4 นี้ นำโดยขบวนม้านำ 2 ม้า ตามด้วยพนักงานเชิญเครื่องสูงแผ่ลวด คณะรัฐมนตรีนำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ต่อมาเป็นพระที่นั่งราเชนทรยาน โดยมี รศ.นพ.ประดิษฐ์ ปัญจวีณิน ผู้อำนวยการโรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์ ปฏิบัติหน้าที่เป็นเจ้าพนักงานภูษามาลาประคองพระบรมอัฐิ และ ศ.นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา คณบดีคณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ปฏิบัติหน้าที่เป็นเจ้าพนักงานภูษามาลาประคองพระบรมราชสรีรางคารบนพระราเชนทรยานน้อย ตามลำดับ ตำรวจหลวง 8 นาย เชิญธงชัยราชกระบี่ยุทธ ธงชัยพระครุฑพ่าห์ นำเสด็จฯ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จากนั้นในลำดับต่อมา สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงพระดำเนินตาม ปิดท้ายริ้วขบวนพระบรมราชอิสริยยศฯ ด้วยเหล่าสมาชิกราชสกุลทุกมหาสาขา

เมื่อขบวนพระที่นั่งราเชนทรยานน้อยทรงพระบรมราชสรีรางคารถึงหน้าศาลาสหทัยสมาคม จะแยกขขบวนไปเทียบที่ประตูเกยหลังวัดพระศรีรัตนศาสดาราม เจ้าพนักงานภูษามาลาเชิญพระบรมราชสรีรางคารโดยเสลี่ยงไปประดิษฐานในพระศรีรัตนเจดีย์ ขบวนพระที่นั่งราเชนทรยานทรงพระบรมอัฐิเทียบที่เกยพระที่นั่งอาภรณ์พิโมกข์ปราสาท ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพนักงานภูษามาลาเชิฐพระโกศพระบรมอัฐิเข้าพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท

สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จขึ้นพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ทรงยืน เมื่อประดิษฐานพระโกศพระบรมอัฐิในบุษบกแว่นฟ้าทองเหนือพระแท่นสุวรรณเบญจดลเรียบร้อยแล้ว เสด็จฯ ไปทรงจุดธูปเทียนเครื่องทองน้อยและเครื่องราชสักการะบูชาพระบรมอัฐิ ทรงกราบ เสด็จออกจากพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท

น.ส.จารุ ชูนุช

ต่อมาสมมุติขั้นตอนต่างๆ เสมือนวันจริง ในการซ้อมริ้วขบวนพระบรมราชอิสริยยศ ริ้วขบวนที่ 5 สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จฯ ไปยังพระที่นั่งดุสิมหาปราสาท ทรงจุดธูปเทียนเครื่องทองน้อยและเครื่องราชสักการะ ทรงกราบ ทรงจุดธูปเทียนเครื่องนมัสการบูชาพระพุทธรูปประจำพระชนมวารที่หน้าพระแท่นมหาเศวตฉัตร ทรงกราบ พระสงฆ์ 30 รูปที่สวดพระพุทธมนต์เมื่อวันก่อน ถวายพรพระจบ เสด็จฯ ไปทรงประเคนสำรับภัตตาหารแด่สมเด็จพระราชาคณะผู้เป็นประธานสงฆ์

ถัดมาสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จฯ ไปทรงประเคนจตุปัจจันไทยธรรมแด่สมเด็จพระราชาคณะ และพระราชาคณะซึ่งจะเดินเข้ามารับจนครบ 30 รูป ทรงหลั่งทักษิโณทก พระสงฆ์ถวายอนุโมทนา ถวายพอดิเรก ถวายพระพรลา ทรงจุดธูปเทียนดูหนังสือเทศน์พระราชทานให้เจ้าพนักงานพระราชพิธีเชิญไปตั้งที่โต๊ะข้างธรรมาสน์ พระมหาโพธิวงศาจารย์ วัดราชโอรสาราม ที่จะถวายเทศน์ขึ้นนั่งบนธรรมาสน์ ทรงจุดธูปเทียนเครื่องทรงธรรม

เสด็จฯ ไปทรงจุดธูปเทียนเครื่องทองน้อยสำหรบพระบรมอัฐิทรงธรรม ทรงศีล พระมหาโพธิวงศาจารย์ ถวายอนุโมทนาบนธรรมาสน์ พระ 4 รูป รับอนุโมทนา แล้วพระเทศน์ลงมานั่งยังอาสน์สงฆ์ เสด็จฯ ไปทรงเคนจตุปัจจัยไทยธรรมบูชากัณฑ์เทศน์ เจ้าพนักงานลาดพระภูษาโยง เสด็จฯไปทอดผ้าไตร 5 ไตร พระสงฆ์สดับปกรณ์ ถวายอดิเรก ถวายพระพระพรลา เจ้าหน้าที่พนักงานนิมนต์พระสงฆ์ที่จะสดับปกรณ์เท่าพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร จำนวน 89 รูป เสด็จฯ ไปทรงทอดผ้าไตรและทรงหลั่งทักษิโณทก

สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพนักงานภูษามาลาเชิญพระโกศพระบรมอัฐิพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ลงจากบุษบกแว่นฟ้าทองบนพระแท่นสุวรรณเบญจดลไปประดิษฐานบนพระที่นั่งราเชนทรยาน ที่เกยพระที่นั่งอาภรณ์พิโมกข์ปราสาท สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงยืน เมื่อเจ้าพนักงานภูษามาลาเชิญพระโกศพระบรมอัฐิออกจากพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท

ต่อมา สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จฯ ตามไปยังพระที่นั่งอาภรณ์พิโมกข์ปราสาทแล้ว สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จลงจากพระที่นั่งอาภรณ์พิโมกข์ปราสาท ตำรวจหลวงนำเสด็จออกทางประตูกำแพงข้างพระที่นั่งราชกรัณยาสภาเข้าขบวนตาม พร้อมด้วยพระบรมวงศานุวงศ์ เพื่อตั้งริ้วขบวนที่ 5 ใช้เส้นทางจากพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท-พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท ระยะทาง 63 เมตร ใช้เวลา 30 นาที เดินทางจังหวะเสียงกลองโดยการเดินปกติ จัดกำลังพลจำนวน 384 นาย

เมื่อขบวนแห่เชิญพระบรมอัฐิถึงพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท เจ้าพนักงานภูษามาลาเชิญพระโกศพระบรมอัฐิขึ้นพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท แล้วเชิญพระโกศพระบรมอัฐิพักไว้หน้าพระวิมาน สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จฯ พร้อมด้วยสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ขึ้นชั้น 3 พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงจุดธูปเทียนบูชาพระพุทธสัมพรรโณภาศ ทรงกราบ ทรงจุดธูปเทียนเครื่องทองน้อยถวายราชสักการะพระบรมอัฐิสมเด็จพระบรมราชบุพการี (พระวิมานกลาง)

สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพนักงานภูษามาลาเชิญพระโกศพระบรมอัฐิพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร เข้าที่ประดิษฐาน ทรงจุดธูปเทียนเครื่องทองน้อยถวายราชสักการะพระบรมอัฐิ เสด็จลงจากพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท ไปประทับรถยนต์พระที่นั่ง ที่อัฒจันทร์มุขหน้าพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท เสด็จฯ กลับ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับบรรยากาศบริเวณตั้งแต่จุดคัดกรองพระแม่ธรณีบีบมวยผผ่านหน้าศาลฎีกา ศาลหลักเมือง มีประชาชนแต่งกายด้วยชุดสีดำมาจับจองพื้นที่เพื่อรอชมการซ้อมริ้วขบวนพระบรมราชอิสสริยยศพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ริ้วที่ 4 ตั้งแต่เช้ามืด แม้ว่าจะมีสายฝนตกโปรยปรายลงมาตลอดเวลา

น.ส.จารุ ชูนุช อายุ 74 ปี ประชาชนจาก จ.เชียงใหม่ แต่มาอาศัยที่ย่านนางลิ้นจี่ กทม. ประชาชนที่มาร่วมชมซ้อมขบวนพระบรมราชอิสริยยศพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
เปิดเผยว่า ตั้งแต่ที่พระองค์เสด็จสวรรคต ก็เดินทางมากราบสักการะพระบรมศพตั้งแต่วันที่ 14 ต.ค.59 เรื่อยมาจนถึงวันที่ 5 ต.ค.60 ที่สำนักพระราชวังประกาศปิดให้ประชาชนเข้ากราบ และในวันนี้ซึ่งเป็นพิธีซ้อมริ้วขบวน จึงเดินทางออกจากบ้านตั้งแต่เวลา 05.00 น. แม้จะมีฝนจะตกลงก็ตาม

“ถ้าเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับในหลวงรัชกาลที่ 9 ต่อให้ต้องตากแดด ตากฝน หรือต้องใช้เวลารอคอยนานแค่ไหนก็ไม่เคยท้อ เพราะป้ารักพระองค์ท่าน รักมากในทุกๆ ด้าน อยากจะใช้เวลาที่เหลืออยู่เพียงนิดหน่อยใกล้ชิดกับพระองค์ให้มากที่สุด อีกทั้งในวันที่ระหว่างวันที่ 25-29 ต.ค. ซึ่งเป็นพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพฯ นั้น ป้าได้ลงชื่อเป็นจิตอาสาเฉพาะกิจ ไปช่วยดูแลที่ซุ้มวางดอกไม้จันทน์ ณ พระเมรุมาศองค์จำลอง พระลานพระราชวังดุสิต คงไม่มีโอกาสได้เข้ามาที่ท้องสนามหลวง จึงรีบมาในวันนี้ก่อน” น.ส.จารุ กล่าว

นางฉวีวรรณ สิงหรัตน อายุ 77 ปี เดินทางมาจากย่านบางขุนเทียน กรุงเทพฯ เพียงลำพังเพื่อชมการซ้อมริ้วขบวนพระบรมราชอิสริยยศฯ เล่าว่า ก่อนหน้านี้เคยมาชมการซ้อมครั้งก่อนแล้วในวันที่ 15 ต.ค. ที่ผ่านมา และที่มาในวันนี้เพราะอีกจะชมอีกครั้ง แต่ติดธุระทำให้พลาดการซ้อมริ้วขบวนที่ 1, 2 และ 3 ของเมื่อวันที่ 21 ต.ค. จึงตัดสินใจเดินทางมาชมการซ้อมในวันนี้แทน โดยออกเดินทางจากบ้านตั้งแต่เช้ามืดมาถึงที่นี่ตอนประมาณ 06.00 น. ลงรถเมล์แถวเฉลิมกรุงแล้วเดินเข้าทางถึงสนามหลวง เนื่องจากวันถวายพระเพลิงพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช นั้นประชาชนต้องมากันจำนวนมาก จึงตั้งใจว่าจะไปวางดอกไม้จันทน์ที่พระลานพระราชวังดุสิต

“ตั้งแต่สมัยที่เป็นเด็กยังอายุยังน้อยขณะนั้นอาศัยอยู่ที่จังหวัดสมุทรปราการ ในหลวงรัชกาลที่ 9 เสด็จฯ กลับจากต่างประเทศโดยประทับเรือ พ่อแม่พาไปเฝ้าฯ รับเสด็จถึง 3 ครั้ง และอีกครั้งตอนที่พระองค์ท่านพระบรมราชาภิเษก และได้ไปร่วมกับประชาชนคนอื่นสวดมนต์ทุกวันจันทร์ถวายแด่พระองค์อีกหลายครั้ง ดังนั้น ถ้าถามว่ารักพระองค์ท่านตรงไหน ตอบไม่ถูก รู้แค่ว่ารักพระองค์ท่านจริงๆ เรียกว่าเป็นความผูกพันก็ย่อมได้ ถ้าแลกชีวิตได้ก็จะแลกให้พระองค์ท่านได้” นางฉวีวรรณ กล่าวด้วยน้ำเสียงแห่งความรักและเทิดทูน

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน