จากผลงานสุดพลิกล็อกช็อกโลก ของ ทีมชาติเม็กซิโก ซึ่งเฉือนชัย ทีมชาติเยอรมนี หวุดหวิด 1-0 ในเกมฟุตบอลโลก 2018 ที่รัสเซีย สื่อเดลิเมล์ชื่อดัง ขุดคุยผลงานที่มาของความสามารถในตัว “ฮวน คาร์ลอส โอโซริโอ” กุนซือใหญ่ทีมจังโก้ ว่าเป็นบุคคลผู้ไม่ธรรมดามีผลงานอันน่าทึ่งไม่น้อย เพราะไม่เพียงจะพาเม็กซิโกคว้าตั๋วเข้ารอบสุดท้ายฟุตบอลโลกครั้งนี้ได้สำเร็จเท่านั้น ทว่ากุนซือวัย 56 ปี ผู้นี้ แม้จะมิได้มีชื่อเสียงโด่งดัง แต่ประวัติส่วนตัวของเขานั้นนับว่าโชกโชนไม่น้อยเลยทีเดียว

REUTERS/Albert Gea

โอโซริโอ กุนซือชาวโคลอมเบีย เผย ชีวิตอดีตเคยศึกษาในมหาวิทยาลัย จอห์น มัวร์ส เมืองลิเวอร์พูล ความสนใจในเกมกีฬาลูกหนังทำให้เขาลงทุนเช่าห้องว่างราคา 50 ปอนด์ต่อสัปดาห์ เพื่อแอบดูการฝึกซ้อมของทีม “หงส์แดง”ลิเวอร์พูล

กุนซือจังโก้ เล่าว่า “ผมเรียนวิทยาศาสตร์การกีฬาที่อเมริกา และทำงานกับทีมระดับเยาวชนของ นิวยอร์ก ไฟร์ อยู่ราวๆ 7 ปี แต่ผมก็มีความฝัน ผมอยากเป็นโค้ชชั้นยอด หลังจากตัดสินใจเลิกเล่นบอลเพียงแค่อายุ 24 ปีเท่านั้น ก่อนจะมามุ่งมั่นหวังเอาดีในเส้นทางอาชีพของโค้ช”

Soccer Football – World Cup – Group F – Germany vs Mexico – Luzhniki Stadium, Moscow, Russia – June 17, 2018 Mexico coach Juan Carlos Osorio gestures REUTERS/Maxim Shemetov

“ผมตั้งใจศึกษาอย่างมาก และวันหนึ่งผมก็ได้คุยกับภรรยาของผมว่าผมอยากจะไปศึกษาเรื่องฟุตบอลให้มันเป็นเรื่องเป็นราว ผมเลยตัดสินใจขอเธอว่าจะไปเรียน ด้านวิทยาศาสตร์การกีฬา และฟุตบอลในระดับมาสเตอร์ที่มหาวิทยาลัย จอห์น มัวร์ส ในเมืองลิเวอร์พูล ซึ่งผมก็ได้ทำตามฝันของผม ผมได้มาศึกษาต่อส่วนภรรยาผมเธอยังคงทำงานในอเมริกา”

REUTERS/Maxim Shemetov

“แน่นอนว่าชีวิตของผมมันอยู่กับฟุตบอล และเมื่อเราอยู่เมืองลิเวอร์พูลทำไมเราไม่ลองไปดูลิเวอร์พูลซ้อมดูล่ะ ผมเลยไปบอกกับสโมสรว่าผมเรียนอะไรอยู่ และขอเข้าไปดูการฝึกซ้อมในเมลวู้ดได้ไหม แน่นอนการขอคำตอบถึง 3-4 รอบของผมไม่ได้รับการตอบรับเลย จนผมเห็นว่ามันมีห้องว่างอยู่ และวิวของชั้นนั้นจะมองเห็นสนามเมลวู้ดชัดเจนเลยล่ะ ผมเลยตัดสินใจยอมจ่ายค่าเช่าสัปดาห์ละ 50 ปอนด์ เพื่อเช่าห้องนั้นแล้วคอยซุ่มดูการฟิตซ้อมของพวกเขา”

REUTERS/Maxim Shemetov

“ชีวิตผมไม่จำเป็นจะต้องมีไลเซ่นส์ แต่ผมจำเป็นจะต้องเรียนรู้ จากประสบการณ์จริงในสนาม และต้องรู้ว่า ความเป็นมืออาชีพนั้นจะต้องทำงานหนักอย่างไรบ้าง” โอโซริโอ เปิดใจกับ ESPN

ทุกวันนี้ โอโซริโอ กลายเป็นยอดโค้ชไปแล้ว “ใช่เลย จากนั้นเป็นเวลา 2 ปีผมได้ใช้เวลาศึกษาการเล่นของยอดทีมอย่างลิเวอร์พูลอยู่ตลอด ผมดูพวกเขาซ้อมผ่านหน้าต่าง และกล้องส่องทางไกลของผม มันเจ๋งเป็นบ้าเลย ผมเห็นทั้ง ร็อบบี้ ฟาวเลอร์ และ สตีฟ แม็คมานามาน แน่นอนว่ามันรวมไปถึงการได้เห็นเยาวชนดาวรุ่งอย่าง สตีเว่น เจอร์ราร์ด ด้วย”

REUTERS/Maxim Shemetov

“และเมื่อผมเรียนจบผมก็กลับไปยังอเมริกาได้ทำงานกับสโมสรนิวยอร์ค เมโทรสตาร์ ต่อมาไม่นานนักผมก็ได้รับโทรศัพท์จาก โจ รอยส์ ซึ่งตอนนั้นเป็นผู้จัดการทีมแมนซิตี้อยู่ว่าอยากให้ผมไปเป็นทีมงานหน่อย แต่ผมก็ปฏิเสธไปเพราะอยากอยู่กับภรรยา ทว่าจากนั้นไม่นานมีโทรศัพท์จากแมนซิตี้เข้ามาอีกครั้ง แต่รอบนี้เป็น เควิน คีแกน นะ เขาโทรมาถามผมว่า อยากไปเป็นสตาฟให้ได้ไหม ซึ่งผมลังเลมาก แต่สุดท้ายแล้วภรรยาของผมก็เข้าใจ และผมก็ไปเป็นโค้ชฟิตเนสให้กับแมนซิตี้ในเวลาต่อมา”

“ผมทำงานกับแมนซิตี้อยู่ราว ๆ 5 ปีเห็นจะได้ ก่อนที่ผมจะได้รับการติดต่อให้ไปเป็นผู้จัดการทีมให้กับมิลโล่นาริออส ได้คุมทีมในเมเจอร์ลีกสหรัฐ กับ ชิคาโก้ ไฟร์ และ นิวยอร์กเรด บูลล์ส จนถึงปี 2012 จึงไปทำทีม แอตเลติโก้ นาซิอองนาล พาทีมคว้าแชมป์ลีก 3 สมัย และแชมป์บอลถ้วยสองสมัย ก่อนจะไปคุมทีม เซาเปาโล ในบราซิล ช่วงสั้นๆ กระทั่งผันตัวมารับงานทีมชาติเม็กซิโก ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2015 เมื่อสามปีที่ผ่านมา จนได้สร้างผลงานอันเป็นประวัติศาสตร์ ด้วยการเอาชนะ เยอรมนี 1-0 ในฟุตบอลโลกครั้งนี้ ได้สำเร็จ”

“ผมบอกกับลูกทีมว่า จงเล่นบอลด้วยความรัก มุ่งมั่นในชัยชนะ ผมจะบอกพวกเขาอยู่เสมอๆ จงมุ่งมั่นพัฒนาตัวเอง ทุกอย่างผมเป็นคนรับผิดชอบ ถ้าความสำเร็จเกิดขึ้นนั่นเป็นผลงานชัยชนะของพวกคุณ แต่หากพลาดพลั้ง นั่นเป็นความผิดพลาดของผมที่ต้องรับผิดชอบเอง” กุนซือใหญ่ชาวโคลอมเบีย กล่าว

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน