การแข่งขันฟุตบอลโลก นัดสุดท้าย กลุ่ม เอ ที่โวโกลกราด อารีน่า เมื่อ 25 มิ.ย. เป็นการพบกันระหว่าง ทีมชาติ อียิปต์ กับ ทีมชาติซาอุดิอาระเบีย โดยคู่นี้ไม่มีผลในการเข้ารอบ เนื่องจากต่างพ่าย 2 นัดรวดมาด้วยกันทั้งคู่ แต่เป็นศึกแห่งศักดิ์ศรีที่จะต้องหนีบ๊วยของกลุ่ม

REUTERS/Ueslei Marcelino

อียิปต์ ส่งตัวหลักลงสนามนำทัพโดย โมฮาเหม็ด ซาลาห์ กองหน้าจากลิเวอร์พูล และวันนี้เอสซัม เอล ฮาดารี ผู้รักษาประตูทีมชาติอียิปต์ กลายเป็นผู้เล่นที่อายุมากที่สุดที่ในประวัติศาสตร์ที่ได้ลงเล่นในฟุตบอลโลกหลังมีชื่อเป็น 11 ตัวจริงของทีมชาติอียิปต์ในวัย 45 ปี 161 วัน ทำลายสถิติเดิมของ ฟาริด มอนดรากอน ผู้รักษาประตูโคลัมเบีย ทำไว้เมื่อ 4 ปีก่อน ด้วยวัย 43 ปี ด้วยกัน

REUTERS/Jason Cairnduff

โดย 11 ตัวผู้เล่นทีมชาติอียิปต์ระบบ 4-5-1 ประกอบด้วย เอสซัม เอล ฮาดารี, อาห์เหม็ด ฟาธี, อาลี กาบร์, อาห์เหม็ด เฮกาซี, โมฮาเหม็ด อับเดล ซาฟี, ตาเรก ฮาเหม็ด, โมฮาเหม็ด เอลเนนีล, โมฮาเหม็ด ซาลาห์, อับดัลลา ซาอิด, เตรเซเกต์ และ มาร์วาน โมห์เซน

REUTERS/Damir Sagolj

ส่วน 11 ผู้เล่นทีมชาติซาอุดิอาระเบีย 4-3-2-1ประกอบด้วย ยาสเวอร์ อัล โอวาอิส, อาลี อัล บูไฮลี, โอซามา ฮอว์ซาวี, โมฮัมเหม็ด อัล เบรอิก, ยาสเซอร์ อัล ชาห์รานี, ซัลมาน อัลฟาราจ, อับดุลลาห์ โอเตย์ฟ, ฮูเซน อัล โมกาห์วี, ซาเลม อัล ดอว์ซรี, ฮัตตาน บาเฮบรี และ โมฮันนัด อัสซิรี

เริ่มเกมซาอุดิอาระเบีย พาบอลไปป้วนเปี้ยนหน้าปากประตูอียิปต์หลายต่อหลายครั้งแต่ไม่สามารถสร้างสรรค์โอกาสปิดสกอร์ได้ กระทั่งนาที 22 ซาอุฯ เสียบอลกลางสนาม และบอลยาวจากอับดุลลาห์ ซาอิด ตักยาวให้ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ หลุดเข้าไปกระดกบอลข้ามหัว ยาสเซอร์ อัล โมไซเมล นายทวารซาอุดิอาระเบียเขึ้นนำ 1-0 ในนาที 22 เป็นประตูที่ 2 ของซาลาห์ในฟุตบอลโลก

นับตั้งแต่โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ย้ายมาอยู่กับลิเวอร์พูล เมื่อปี 2017 กองหน้าทีมชาติอียิปต์ยิงไปแล้ว 50 ประตู ใน 58 เกมทั้งสโมสร และทีมชาติ

REUTERS/Damir Sagolj

REUTERS/Damir Sagolj

จากนั้นนาที 39 ยาสเซอร์ อัล ซาห์รานี ของอียิปต์ เปิดบอลไปโดนแขน อาห์เหม็ด ฟาธี ในกรอบเขตโทษ ผู้ตัดสินเป่าเป็นจุดโทษ ฟาฮัด อัลมุวัลลัด ยิงไปติดมือ เอสซัม เอล ฮาดารี ล้มตัวถูกทางปัดได้บอลกระดอนไปชนคาน ซาอุดิอาระเบีย ชวดโอกาสตีเสมอ

REUTERS/Damir Sagolj

แต่แล้วก่อนจบครึ่งแรก ซาอุดิอาระเบียมาได้จุดโทษอีกครั้งในนาที 46 อาลี กาบร์ กองหลังอียิปต์ไปดึง ฟาฮัด อัลมุวัลลัด ล้มในกรอบเขตโทษ ซึ่งหลังผู้ตัดสินเช็ก VAR ชี้เป็นจุดโทษ ซาอุดิอาระเบีย เปลี่ยนให้ ซัลมาน อัล ฟาราจ ยิงบ้าง ให้ซาอุดิอาระเบียตีเสมอ 1-1

REUTERS/Darren Staples

REUTERS/Darren Staples

REUTERS/Darren Staples

เข้าสู่ครึ่งหลัง ซาอุดิอาระเบีย เดินหน้าบดต่อเนื่อง แต่อียิปต์มีโต้น่ากลัวๆ หลายครั้ง จากการขับเคลื่อนของซาลาห์ เกมทำท่าจะจบลงด้วยสกอร์ 1-1 แต่ช่วงท้ายเกมอับดุลลาห์ โอเตย์ฟ ทำชิ่งให้ ซาเล็ม อัล ดอว์ซาวี หลุดเข้าไปยิงเสียบเสาไกลเข้าไปเป็นประตูชัยในนาที 90+4 ส่งผลให้ ซาอุดิอาระเบีย คว้าชัยไปด้วยสกอร์ 2-1 คว้า 3 แต้มเป็นอันดับ 3 ของกลุ่ม เขี่ย อียิปต์ หล่นไปจมบ๊วยแพ้รวด 3 นัด และส่งให้ซาอุดิอาระเบียคว้าชัยเป็นนัดแรกในบอลโลก นับตั้งแต่ปี 1994 เป็นต้นมา และยุติการไร้ชัยในบอลโลกไว้ที่ 12 เกม รวมเวลา 24 ปี

ส่วนในกลุ่มนี้ อุรุกวัย ที่เอาชนะ รัสเซีย 3-0 เข้าเป็นแชมป์กลุ่ม ส่วนรัสเซีย เป็นอันดับ 2

REUTERS/Damir Sagolj

REUTERS/Darren Staples

REUTERS/Jason Cairnduff

 

 

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน