วันที่ 1 เม.ย. มูลนิธิศูนย์ทนายความมุสลิมปัตตานี เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 30 เม.ย. ศาลจังหวัดปัตตานีพิพากษาประหารชีวิตจำคุกตลอดชีวิต และจำคุก 39 ปี 12 เดือน ตามคดีหมายเลขดำที่ อ.1118/60 ตามที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้อง จำเลยกับพวกรวม 10 คน จากเหตุคดีระเบิดเมืองปัตตานี รวม 6 เหตุการณ์ เหตุเกิดเมื่อ 30 เม.ย. 61 ได้แก่ 1.นายมะซัน หรือฮากิม สาและ จำเลยที่ 1 2.นายอับดุลเลาะ หะยีอูมาร์ จำเลยที่ 2 3.นายอิบรอเฮง ยูโซะ จำเลยที่ 3 4.นายอัมรีย์ ลือเย๊าะ จำเลยที่ 4 5.นายสันติ จันทรกุล จำเลยที่ 5 6.นายอายุบ เปาะลี จำเลยที่ 6 7.นายฮามิต เจะมะ จำเลยที่ 7 8.นายอิสมาแอ ตุยง จำเลยที่ 8 9.นายรุสลัน แวหะยี จำเลยที่ 9 และ10.นายนิรอนิง นิเดร์ จำเลยที่ 10

ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาประหารชีวิตนายอิบรอเฮง ยูโซะ จำเลยที่ 3, นายอัมรีย์ ลือเย๊าะ จำเลยที่ 4, นายสันติ จันทรกุล จำเลยที่ 5, นายอายุบ เปาะลี จำเลยที่ 6, นายอิสมาแอ ตุยง จำเลยที่ 8 และนายนิรอนิง นิเดร์ จำเลยที่ 10

ส่วนนายมะซัน หรือฮากิม สาและ จำเลยที่ 1, นายอับดุลเลาะ หะยีอูมาร์ จำเลยที่ 2, , นายรุสลัน แวหะยี จำเลยที่ 9 ประหารชีวิตแต่จำเลยทั้ง 3 ให้การเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาคดี ศาลลดโทษให้กึ่งหนึ่งเหลือจำคุกตลอดชีวิต ขณะที่นายฮามิต เจะมะ จำเลยที่ 7 จำคุก 39 ปี 12 เดือนภายหลังจากศาลอ่านคำพิพากษาดังกล่าวแล้ว ทางญาติน้อมรับการพิพากษาของศาลอย่างสงบ และเคารพคำพิพากษาศาล แต่ญาติและจำเลยยังคงยืนยันความบริสุทธิ์ของผู้ต้องหาทั้ง 10 ราย พร้อมจะเดินหน้าต่อสู้คดีในชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกาต่อไป เพื่อให้ได้มาซึ่งความเป็นธรรม

โดยทางทนายมูลนิธิศูนย์ทนายความมุสลิมได้ให้ความเห็นในคดีนี้ว่า สืบเนื่องจากศาลรับฟังผลการซักถามประกอบ คำให้การของพนักงานสอบสวน คำรับสารภาพของจำเลยที่ 1 ในระหว่างที่ควบคุมตัวตามอำนาจพิเศษ ประกอบกับคำให้การซัดทอดของผู้ถูกควบคุมตัว แต่ถูกเจ้าหน้าที่กันไว้เป็นพยาน โดยนำพยานดังกล่าวเข้าร่วมโครงการคุ้มครองพยานจะไม่ถูกดำเนินคดี ซึ่งพยานเหล่านั้นอยู่ภายใต้การควบคุมตัวของเจ้าหน้าที่รัฐที่ยังไม่มีอำนาจใดๆ ที่สามารถเข้ามาตรวจถึงกระบวนการขั้นตอนดังกล่าวว่าทุกอย่างนั้นไม่ได้มีการบังคับให้รับสารภาพ และไม่มีการบังคับพยานเพื่อให้การต่อศาลตามที่พยานอ้างในชั้นศาล เพราะทุกครั้งที่พยานอ้างมีความสัมพันธ์กับจำเลย เคยมีการปฏิบัติการร่วมกันกับจำเลยนั้น แต่กลับถูกจำเลยปฏิเสธทุกครั้งไปว่าไม่เคยมีความสัมพันธ์หรือรู้จักมาก่อนเลย

ทางญาติจึงยังมีความเชื่อมั่นและมั่นใจในความเป็นธรรมจากศาลถึงความบริสุทธิ์ของจำเลยทั้ง10 ที่จะได้รับความยุติธรรมจากกระบวนการยุติธรรมของประเทศไทย เพราะเป็นเพียงแค่การซัดทอดของพยานและภาพที่บันทึกวิดีโอในระหว่างซักถามของเจ้าหน้าที่ โดยยังไม่มีปรากฏหลักฐานอื่นประกอบเลย แต่เมื่อศาลชั้นต้นเชื่อในพยานหลักฐานดังกล่าว ทางญาติก็เคารพในการพิจารณาของศาล แต่จะขอสู้ในชั้นอุทธรณ์ต่อไป และทางญาติอยากเรียกร้องให้มีกระบวนการตรวจสอบในชั้นกระบวนซักถามในระหว่างควบคุมตัวโดยกฎหมายพิเศษ เพื่อสร้างบรรทัดฐานของกระบวนการยุติธรรมว่า ได้ดำเนินการอย่างโปร่งใส ไม่มีการบังคับและกลั่นแกล้งแต่อย่างใด

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน