‘ดร.จุฬาเก๊’ เจอคุก 5 ปี 1 เดือน ลวงเงินสาวร่วมล้านหลอกแต่งงาน เจ้าตัวรับสารภาพเหลือคุก 2 ปี 6 เดือน 15 วัน ศาลชี้มีเมียแล้วยังหลอกสาวรายหลาย ไม่สำนักผิด เป็นภัยร้ายแรงสังคม ไม่ควรรอลงอาญา สั่งคืนเงิน 9.5 แสน ให้เหยื่อสาว

ดร.จุฬาเก๊ / เมื่อวันที่ 4 ธ.ค. ที่ศาลแขวงพระนครเหนือ ถ.รัชดาภิเษก ศาลมีคำพิพากษาคดีหมายเลขดำ อ.7292/2561 ที่พนักงานอัยการคดีศาลแขวง เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง นายสุพศ วงษ์ชีพ อายุ 43 ปี ซึ่งอ้างเป็นอาจารย์ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ระดับรศ.ดร. สอนวิชาคอมพิวเตอร์ หลอกลวงหญิงสาวแต่งงาน เป็นจำเลย

ในความผิดฐานฉ้อโกง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341, ฐานนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ฯ ตามพ.ร.บ. ว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2560 มาตรา 14 และความผิดเกี่ยวกับการใส่ชุดครุยของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยไม่มีสิทธิทำให้ผู้อื่นหลงเชื่อว่ามีวิทยฐานะหรือมีตำแหน่ง ตาม พ.ร.บ.จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พ.ศ.2551

โดยกรณีสืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 24 ต.ค.61 อัยการนำตัวนายสุพศมายื่นฟ้องด้วยวาจาต่อศาล ภายหลังหลังจาก พนักงานสอบสวนกองปราบปราม ส่งตัวนายสุพศ ซึ่งให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวนตลอดข้อกล่าวหา

ซึ่งชั้นศาลนายสุรพศก็ให้การรับสารภาพ ศาลจึงมีคำสั่งให้เจ้าหน้าที่คุมประพฤติทำรายงานการสืบเสาะและพินิจ ในการแสวงหาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับประวัติ-ภูมิหลังอายุ อาชีพของจำเลย สภาพความผิดพฤติการณ์แห่งคดี และเหตุอันควรปรานี กรณีการเยียวยาผู้เสียหาย สรุปเป็นรายงานสืบเสาะและพินิจ ส่งศาลประกอบการพิจารณาพิพากษาต่อไป ซึ่งกำหนดฟังคำพิพากษาในวันนี้

โดยศาลพิเคราะห์คำรับสารภาพของจำเลย และพยานหลักฐานชั้นฟ้องแล้ว เห็นว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานฉ้อโกง ตามประมวลกฎหมายอาญา ม.341, พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ฯ ม.14 (1) และพ.ร.บ.จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พ.ศ.2551 ม.69 ซึ่งเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันจึงให้ลงโทษทุกกรรมเรียงกระทงเป็นความผิดไป

พิพากษาให้จำคุกฐานฉ้อโกง 2 กระทงๆ 2 ปี รวมเวลา 4 ปี, ฐานนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งเป็นข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ ให้จำคุก 1 ปี และฐานสวมครุยวิทยฐานะ และเครื่องหมายของจุฬาฯ โดยที่ตนไม่มีสิทธิให้จำคุกอีก 1 เดือน รวมจำคุกทั้งสิ้นเป็นเวลา 5 ปี 1 เดือน

จำเลยให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ศาลเห็นสมควรลดโทษให้กระทงละกึ่งหนึ่ง คงจำคุกจำเลยทั้งสิ้น 2 ปี 6 เดือน 15 วัน และให้จำเลยคืนเงิน 950,000 บาท ที่หลอกลวงมาให้ผู้เสียหายด้วย

และเมื่อพิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดีประกอบรายงานการสืบเสาะและพินิจของจำเลยแล้ว เห็นว่าขณะเกิดเหตุนั้น จำเลยเป็นเป็นชายที่มีภรรยาอยู่แล้ว แต่จำเลยกลับหลอกลวงผู้เสียหายด้วยการแสดงตนว่ามีตำแหน่งทางวิชาการ เป็นรองศาสตราจารย์ โดยปกปิดความจริงว่าไม่ได้เป็นอาจารย์พิเศษที่จุฬาฯ

อีกทั้งจำเลยยังหลอกลวงว่าจะสมรสกับผู้เสียหาย จนเป็นเหตุให้ผู้เสียหายและครอบครัวของผู้เสียหายหลงเชื่อว่าผู้เสียหายจะได้เป็นคู่สมรสกับจำเลยในภายหน้า

ผู้เสียหายจึงยินยอมให้จำเลยยืมเงิน 950,000 บาท เพื่อนำไปชดใช้หนี้สิน ที่จำเลยก่อและนำไปใช้จ่ายส่วนตัว โดยที่จำเลยไม่ได้เจตนาที่จะสมรสกับผู้เสียหาย การกระทำของจำเลยจึงเป็นการกระทำที่เห็นแต่ประโยชน์ส่วนตนโดยไม่ได้คำนึงถึงความเสียหายที่จะเกิดกับบุคคลอื่น

อีกทั้งยังก่อให้เกิดความเสียหายทั้งทางด้านทรัพย์สิน และด้านจิตใจของผู้เสียหายเป็นอย่างมาก อีกทั้งภายหลังเกิดเหตุผู้เสียหายยังไม่ได้รับการชดใช้เยียวยาความเสียหายจากจำเลย ซึ่งแม้จำเลยจะไม่เคยมีประวัติกระทำความผิดมาก่อนก็ตาม แต่การกระทำของจำเลยถือเป็นภัยอันร้ายแรงต่อสังคม

ไม่พลาดข่าวสำคัญ แค่กดเป็นเพื่อนกับ ไลน์@ข่าวสด ที่นี่เพิ่มเพื่อน

ประกอบกับจำเลยเคยกระทำในลักษณะดังกล่าวกับหญิงสาวรายอื่นมาแล้ว เชื่อว่าจำเลยไม่เคยสำนึกในการกระทำผิดของตน ตามพฤติการณ์แห่งคดีดังกล่าว จึงไม่มีเหตุสมควรที่จะรอการลงโทษแก่จำเลย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังศาลมีคำตัดสินแล้วนายสุพศยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์ของปล่อยชั่วคราว ต่อสู้คดีในชั้นอุทธรณ์ ซึ่งศาลพิจารณาแล้วก็ให้ประกันตัวไปในชั้นอุทธรณ์

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน