ทนายเชื่อ ดีเอสไอรู้ตัว แก๊งฆ่าเผาบิลลี่ ชี้อุทยานพื้นที่ปิด คนนอกเข้าไม่ได้!

วันที่ 3 ก.ย. นายสุรพงษ์ กองจันทึก ประธานมูลนิธิผสานวัฒนธรรมและอดีตกรรมการสิทธิมนุษยชน ทีมกฎหมายคดีชาวบ้านแก่งกระจาน กล่าวว่า การแลงข่าวออกดีเอสไอกรณีนายพอละจี หรือนายบิลลี่ รักจงเจริญ แกนนำกะเหรี่ยงโป่งลึก-บางกลอย ทำให้คดีเปลี่ยนไปจากคดีคนหายมาเป็นคคีฆาตกรรม เชื่อว่าดีเอสไอ น่าจะมีข้อมูลอยู่แล้วว่าใครหรือขบวนการใดเป็นคนลงมือทำ มีแรงจูงใจอย่างไร เพราะดีเอสไอ ได้หลักฐานมาก่อนหน้าที่จะแถลงประมาณ 1 เดือนและนำไปตรวจดีเอ็นเอ

จึงเชื่อว่าน่าจะมีข้อมูลเก็บไว้ว่าใครเป็นคนทำ ที่สำคัญจุดหรือบริเวณที่มีการค้นพบกระดูกของนายบิลลี่ คืออุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ทำให้การสืบหาคนลงมือแคบลง และคนที่ลงมือฆาตกรรมนายบิลลี่ ไม่ใช่มีแค่คนเดียว แต่เป็นขบวนการที่มีมากกว่า 1 คน อุ้มไปฆ่า หลังจากนี้ไม่นานเชื่อว่า ดีเอสไอ จะสามารถรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อฟ้องผู้ที่กระทำได้

เมื่อถามว่า กลุ่มคนที่ลงมือทำน่าจะเป็นใคร นายสุรพงษ์ กล่าวว่า เป็นหน้าที่ของดีเอสไอ แต่ตนเชื่อว่า ดีเอสไอ รู้อยู่แล้ว อย่างไรก็ตามจุดที่พบกระดูกนายบิลลี่ คืออุทยานฯ แก่งกระจาน เป็นพื้นที่ปิด คนทั่วไปเข้าไม่ได้อยู่แล้ว เพราะมีด่านเข้าออก ตนเชื่อว่าคนที่ลงมือฆาตกรรมนายบิลลี่ อยู่แถวนั้น สามารถเข้าออกในอุทยานฯ ได้ อย่างไรก็ตามเร็วๆ นี้ จะมีพิธีทางศาสนาเพื่อให้วิญญาณของนายบิลลี่ไปสู่ภพภูมิที่ดี ในพื้นที่ ที่พบศพของนายบิลลี่

เมื่อถามต่อว่า คนที่ลงมือฆาตกรรมนายบิลลี่ อาจจะมีการเมืองหรือกลุ่มอิทธิพลเข้ามาช่วยเหลือให้รอดพ้นจากคดีได้ หรือไม่ นายสุรพงษ์ กล่าวว่า การเมืองหรือกลุ่มอิทธิพล ไม่ควรจะเข้ามายุ่งเกี่ยวกับคดี เพราะคดีการฆาตกรรมนายบิลลี่ไม่ใช่แค่เรื่องชาติพันธุ์ แต่เป็นเรื่องของสังคม การอุ้มคนไปฆ่า เป็นเรื่องที่ไม่ควรเกิดขึ้นในสังคมไทย

ไม่พลาดข่าวสำคัญ แค่กดเป็นเพื่อนกับ ไลน์@ข่าวสด ที่นี่เพิ่มเพื่อน

ด้าน น.ส.วราภรณ์ อุทัยรังษี ทนายความสมาคมนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน แสดงความเห็นในเรื่องนี้ว่า เมื่อวันที่ 27 ส.ค.2 ก่อนหน้าที่จะมีการแถลงความคืบหน้าอย่างเป็นทางการจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) กรณีการหายตัวไปของนายพอละจี น.ส.พิณนภา พฤกษาพรรณ หรือมึนอ ภรรยาของบิลลี่ พร้อมทนายความได้ยื่นคำร้องต่อศาลจังหวัดเพชรบุรีเพื่อขอให้ศาลสั่งให้บิลลี่เป็นคนสาบสูญ โดยศาลได้นัดไต่สวนในวันที่ 28 ต.ค.62

การยื่นคำร้องขอให้บิลลี่เป็นคนสาบสูญนี้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และขั้นตอนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 61 คือ เมื่อบุคคลใดได้หายตัวไปจากภูมิลำเนา ขาดการติดต่อ ไม่มีผู้ใดพบเห็น และไม่มีใครทราบว่ายังมีชีวิตอยู่หรือไม่ เป็นเวลาติดต่อกัน 5 ปี ผู้มีส่วนได้เสียหรือพนักงานอัยการสามารถยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อขอให้ศาลสั่งให้บุคคลนั้นเป็นคนสาบสูญได้

เมื่อศาลสั่งให้บุคคลใดเป็นคนสาบสูญแล้วก็จะถือว่าบุคคลนั้นได้เสียชีวิตไปแล้วโดยผลของกฎหมาย ทั้งนี้ การยื่นคำร้องดังกล่าวเป็นเพียงกระบวนการทางแพ่งเพื่อจัดการทรัพย์สินหรือนิติกรรมต่าง ๆ ของคนสาบสูญเท่านั้น

หากปรากฏข้อเท็จจจริงจากการสอบสวนของดีเอสไอ จนเป็นที่แน่ชัดแล้วว่า บิลลี่เสียชีวิตแล้วจากการพบชิ้นส่วนกระดูกและได้มีการพิสูจน์ตามขั้นตอนในทางนิติวิทยาศาสตร์จนสามารถยืนยันได้ว่าเป็นชิ้นส่วนกระดูกของบิลลี่ สถานะของบิลลี่หลังจากนี้จึงไม่ใช่ผู้สูญหายอีกต่อไป จึงไม่เข้าหลักเกณฑ์ในการขอให้ศาลสั่งเป็นคนสาบสูญ

โดยจากการแถลงความคืบหน้าของดีเอสไอ ในวันนี้ พบว่าผลการตรวจดีเอ็นเอ ในชิ้นส่วนกระดูกดังกล่าวตรงกับแม่ของบิลลี่ และต้องใช้เวลาอีกประมาณ 1 เดือน จึงจะสามารถยืนยันได้ว่าชิ้นส่วนกระดูกดังกล่าวเป็นของบุคคลใด เป็นชิ้นส่วนกระดูกของบิลลี่หรือไม่

ดังนั้น หลังจากนี้ต้องรอความชัดเจนในการตรวจสอบจากดีเอสไออีกครั้ง เมื่อดีเอสไอยืนยันผลการตรวจสอบชัดเจนแล้ว ภรรยาของบิลลี่และทนายความจะประสานกับทางดีเอสไอเพื่อขอรวบรวมเอกสารหลักฐานที่ยืนยันว่าบิลลี่เสียชีวิตแล้วเพื่อแถลงต่อศาลต่อไป ในส่วนของคดีอาญาการแถลงความคืบหน้าในวันนี้ ในแง่ของกระบวนการทางคดีถือว่าเป็นทิศทางที่ดี ซึ่งภารกิจใหญ่ของดีเอสไอหลังจากนี้ก็คือการรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อสืบหาตัวผู้กระทำให้บิลลี่เสียชีวิตโดยเร็วที่สุด

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน