ตัวแทน 65 ครูโคราช ที่ถูกคำสั่งไล่ออก คดีทุจริตสนามฟุตซอล วอน กพฐ.ทุเลาคำสั่งเป็นปลดออกแทน เพื่อให้ยังได้รับเงินบำนาญต่อ โอดเหมือนถูกประหารชีวิต

เมื่อวันที่ 3 พ.ย.64 ที่สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา นครราชสีมา เขต 1 นายปฐมฤกษ์ มณีเนตร อดีตผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา นครราชสีมา เขต 1 ประธานชมรมพิทักษ์ระบบคุณธรรมและสิทธิครูจังหวัดนครราชสีมา

พร้อมด้วย นายมานะ อุนารัตน์ อดีตผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านพลสงคราม อ.โนนสูง จ.นครราชสีมา เดินทางมาพบ ดร.กิตติพงศ์ โด่งพิมาย ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา นครราชสีมา เขต 1 นครราชสีมา เพื่อรับทราบคำสั่งไล่ออกจากราชการ ตามที่คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) มีคำสั่งเมื่อวันที่ 1 ต.ค.64 ไล่ออกครู ผู้อำนวยการ และผู้บริหาร สถานศึกษา ในพื้นที่ จ.นครราชสีมา จำนวน 65 คน

โดยในจำนวนนี้มีครู 15 คน ที่ยังไม่เกษียณอายุราชการรวมอยู่ด้วย ภายหลังจากถูกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ชี้มูลความผิดคดีร่วมกันทุจริตโครงการก่อสร้างสนามฟุตซอลโรงเรียน เมื่อปี 2555 แม้คดีจะยังไม่สิ้นสุด แต่ครูต้องรับโทษทางวินัย ตามกฎหมาย หาก ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดแล้ว

นายปฐมฤกษ์ กล่าวว่า ภายหลังจากที่ กพฐ.มีคำสั่งไล่ออก ครู ผู้อำนวยการ และผู้บริหารโรงเรียนทั้งหมด 65 คน จาก 50 โรงเรียนในพื้นที่ จ.นครราชสีมา ที่ถูกกล่าวหาว่าร่วมกันทุจริตโครงการก่อสร้างสนามฟุตซอลโรงเรียน ทำให้ตอนนี้พวกตนได้รับความเดือดร้อนอย่างแสนสาหัส เหมือนเป็นการประหารชีวิต เพราะการถูกไล่ออกจากราชการนั้นทั้งเงินบำนาญ และสวัสดิการต่างๆ ไม่เหลืออะไรเลย

และเมื่อคืนได้ยินข่าวว่า ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาทางการเมือง มีคำสั่งฟ้องพวกตน ก็ยิ่งทำให้ครูและผู้บริหารโรงเรียนที่ถูกกล่าวหา รู้สึกวิตกกังวลเป็นอย่างมาก กินไม่ได้ ตอนไม่หลับเลย ซึ่งตนเองอยากจะชี้แจงว่าครูและผู้บริหารโรงเรียนที่ถูกกล่าวหาทั้ง 65 คนนี้ ไม่เคยมีเจตนาทุจริตแม้แต่น้อย เพราะทุกคนไม่เคยได้รับผลประโยชน์ส่วนตัวใดๆ เลย

ทั้งนี้ อยากจะเล่าความเป็นมาของเรื่องนี้ว่า เดิมทีโรงเรียนก็มีความต้องการพัฒนาสนามกีฬา โดยเฉพาะสนามฟุตซอล เนื่องจากปี 2555 ที่ จ.นครราชสีมา จะแข่งขันฟุตซอลโลกด้วย เมื่อมีหนังสือจากนักการเมือง เสนอให้สนามฟุตซอลมา ทางสำนักงานเขตพื้นที่ฯ ก็ทำเรื่องเสนอไปที่ สพฐ. และทางสพฐ.ก็ให้โรงเรียนเสนอชื่อโรงเรียนมาให้สำนักงานเขตพื้นที่ฯ พิจารณา ซึ่งมีทั้งโรงเรียนที่ขอไป และไม่ได้ขอไป แต่เขาเสนอว่าให้โรงเรียนที่ขาดแคลนดังกล่าว บางสำนักงานเขตพื้นที่ก็มีเรียกประชุม บางเขตก็ไม่ได้เรียกประชุม แต่ให้โรงเรียนดำเนินการไปได้เลย

เมื่อถึงเวลาประมูลด้วยระบบอีอ๊อกชั่นระบบใหม่ ซึ่งตามรูปแบบงบประมาณที่ได้มาไม่มี หลายโรงเรียนก็ทำไม่เป็น ต่อมาก็มีกลุ่มผู้รับเหมา ซึ่งอ้างตัวว่ามาจากส่วนกลาง นำหนังสือและซีดีคู่มือดำเนินการมาให้ทางโรงเรียน เพื่อทำตามขั้นตอน โดยในหนังสือแบบฟอร์มยังมีชื่อเจ้าหน้าที่พัสดุจากส่วนกลางที่คุ้นเคยด้วย ทำให้ครู และผู้บริหารโรงเรียนหลงเชื่อดำเนินการซีดีเหล่านั้น

เมื่อดำเนินการตามนั้นแล้วโรงเรียนต่างๆ ก็เสนอเรื่องมาที่สำนักงานเขตพื้นที่ฯ ที่โรงเรียนเหล่านั้นสังกัดอยู่ เมื่อตรวจสอบทุกอย่างถูกต้องแล้ว สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาฯ ก็อนุมัติงบประมาณไปตามขั้นตอน

หลังจากนั้นทางโรงเรียนก็ดำเนินการจัดซื้อจัดจ้าง โดยระบบอีอ๊อกชั่น ซึ่งไม่ปรากฏชื่อว่ามีใครมาประมูลบ้าง เพราะเป็นระบบอิเล็กทรอนิกส์ โรงเรียนจึงได้ผู้รับจ้างมาตามระเบียบของราชทุกประการ เมื่อได้ผู้รับเหมาแล้วโรงเรียนก็ดำเนินการก่อสร้างทันที โดยแต่งตั้งครูในโรงเรียนเป็นคณะกรรมการตามระเบียบพัสดุ พ.ศ.2535 เมื่อสร้างเสร็จโรงเรียนก็เสนอมาที่สำนักงานเขตพื้นที่ฯ ทางสำนักงานเขตพื้นที่ฯ ก็ตรวจสอบและอนุมัติเบิกเงินให้ตามขั้นตอน

“หลังจากนั้นไม่นาน ทางสำนักงานเขตพื้นที่ฯ ก็ได้รับการร้องเรียนว่าสนามฟุตซอลไม่ได้มาตรฐาน มีการชำรุดใช้การไม่ได้เป็นจำนวนมาก จึงตั้งคณะกรรมการตรวจสอบความผิดปกติ ซึ่งครูที่เป็นคณะกรรมการพัสดุไม่รู้หรอกว่า คุณภาพของวัสดุ ขนาด ราคากลาง และรายละเอียดทางเทคนิคช่างเป็นอย่างไร ด้วยหลงเชื่อว่าเป็นมาตรฐานจากส่วนกลางก็ทำตามนั้น

เมื่อตรวจสอบอย่างละเอียดแล้วจึงรู้ว่าเอกสารที่ผู้แอบอ้างว่า มาจากส่วนกลางเสนอมานั้น เป็นเอกสารทำปลอมขึ้นมา เพราะมีร่องรอยการขีดลบผิดสังเกตหลายแห่ง ทางสำนักงานเขตพื้นที่ฯ จึงทำหนังสือแจ้งไปที่สพฐ. ซึ่งทางสพฐ.ก็แจ้งกลับมาที่สำนักงานเขตพื้นที่ฯ เพื่อบอกให้ทางโรงเรียนไปแจ้งความดำเนินคดีกับผู้แอบอ้างเหล่านั้น ซึ่งช่วงนี้ก็อยู่ระหว่างดำเนินคดีตามขั้นตอนทางกฎหมายอยู่” นายปฐมฤกษ์ กล่าว

นายปฐมฤกษ์ กล่าวต่อว่า ดังนั้นจึงขอให้ตั้งข้อสังเกตว่า จะเป็นไปได้อย่างไรที่ครู และผู้บริหารโรงเรียน ทั้ง 56 โรงเรียน รวมทั้ง 7 สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาฯ จะรวมหัวกันทุจริตเป็นขบวนการใหญ่พร้อมกันขนาดนี้

อยากให้ย้อนไปดูประวัติของผู้ที่ถูกกล่าวหาทุกคน ไม่ว่าจะเป็นผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาฯ ผู้อำนวยการโรงเรียน หรือครูผู้สอน คนเหล่านี้ไม่เคยมีประวัติด่างพร้อย มีแต่ทำความดีความชอบให้กับโรงเรียนมาโดยตลอด แต่พอมาถูกลงโทษทางวินัยร้ายแรงด้วยการไล่ออกจากราชการเช่นนี้ เหมือนกับถูกลงโทษประหารชีวิต เพราะตลอดช่วงชีวิตรับราชการครูมาตลอด ไม่ได้ประกอบอาชีพอื่น จึงไม่มีอะไรเหลืออีกเลย

“ตอนนี้หลายคนก็พยายามทำหนังสือถึงกรมบัญชีกลาง ขอให้ยังคงจ่ายเงินบำนาญต่อไปก่อน จนกว่าคดีจะถึงที่สิ้นสุด ครูบางคนก็ทำหนังสือไปถึงสพฐ.ให้ช่วยทุเลาคำสั่ง จากการไล่ออก ให้ลดลงเป็นปลดออก เพื่ออย่างน้อยก็ยังได้รับเงินบำนาญ

โดยเฉพาะครูที่เกษียณอายุราชการเกิน 3 ปีไปแล้ว ซึ่งเคยมีกฤษฎีกา อบจ.จังหวัดสงขลา ถ้าเกษียณอายุเกิน 3 ปีแล้ว ผู้บังคับบัญชาไม่สามารถออกคำสั่งได้ ขณะที่ส่วนใหญ่ก็ดำเนินการยื่นอุทธรคำสั่งไปยัง กพฐ.ขอให้ทุเลาคำสั่งจากไล่ออก เป็นปลดออกก็ยังดี ซึ่งผมก็ขอความเมตตาจาก กพฐ.ด้วย กรุณาสงสารพวกผมด้วย เพราะพวกเราไม่ได้มีเจตนาทุจริตแต่อย่างใด” นายปฐมฤกษ์ กล่าว

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน