‘บอร์ดกพฐ.’ ชงเลื่อนเปิด-ปิดเทอม1 สอดคล้องปีงบประมาณ ‘สพฐ.’ แจงข้อดี แก้ปัญหางานบุคคล ลดเหลื่อมล้ำ สำรวจผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง 80.30% เห็นด้วย เล็งรับฟังความเห็นเพิ่มเติม

18 ม.ค. 68 – พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) ว่า

ที่ประชุมพิจารณาแก้ไขระเบียบศธ.ว่า ด้วยปีการศึกษาการเปิดและปิดภาคเรียน พ.ศ. 2549 เพื่อให้เข้ากับบริบทในปัจุบัน โดยมีแนวคิด เลื่อนเปิดภาคเรียนที่ 1 จากเดิมวันที่ 16 พฤษภาคม เป็นวันที่ 1 พฤษภาคม และเลื่อนวันปิดภาคเรียนที่ 1 จากวันที่ 11 ตุลาคม เป็นวันที่ 30 กันยายน เพื่อให้ตรงกับปีงบประมาณ

ทั้งนี้แนวคิดดังกล่าว เกิดจากการรับฟังปัญหา ที่เกิดขึ้นกับบุคลากรทางการศึกษา ดังนั้น จึงมอบให้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.)ศึกษารายละเอียด เพื่อนำเข้าที่ประชุมกพฐ.

“ข้อดีของการเลื่อนวันเปิดเทอม จะส่งผลดีเรื่องการบริหารจัดการที่ง่ายขึ้น การปิดภาคเรียนที่1 ก็เพิ่มขึ้นจากเดิมนักเรียนมีเวลาหยุดเพิ่มขึ้น ส่วนข้อกังวลเรื่องการนับอายุเด็กก่อนเข้าเรียนและปัญหาอื่นๆ ที่อาจตามมา

มองว่า เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ เพียงต้องประโยชน์ที่จะเกิดในภาพรวม ว่าคุ้มค่าหรือไม่ ถ้าการปรับเปลี่ยนครั้งนี้ก่อให้เกิดปัญหาที่มากกว่าประโยชน์ก็จะไม่เปลี่ยน ในทางกลับกันหากได้รับผลประโยชน์มกกว่า ก็คงจะมีการปรับใช้” พล.ต.อ.เพิ่มพูน กล่าว

ว่าที่ร้อยตรีธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) กล่าวว่า หากมีการเปิด ปิดภาคเรียนกับช่วงปีงบประมาณ จะเป็นผลดีต่อการบริหารอัตรา โดยที่ผ่านมา สพฐ. ได้สำรวจความคิดเห็นของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกว่า 47,467 คน แบ่งเป็น ผู้บริหารสถานศึกษา ครู นักเรียน ผู้ปกครอง คณะกรรมการสถานศึกษา ศึกษานิเทศก์ นักวิชาการศึกษา ฯลฯ พบว่า เห็นด้วย 80.30% ไม่เห็นด้วย 16.91% และอื่นๆ 0.79%

โดยผู้ที่เห็นด้วยมีประเด็นเห็นชอบดังนี้ 1. เพื่อให้สะดวกต่อการบริหารจัดการภายในสถานศึกษาเนื่องจากสอดคล้องกับปีงบประมาณสะดวกต่อการบริหารจัดการด้านการเบิกจ่ายอาหารกลางวันอาหารเสริม (นม) และการจัดซื้อจัดจ้างต่างๆ

2. เป็นประโยชน์กับเด็กที่เกิดตั้งแต่วันที่ 1 – 15 พฤษภาคม สามารถเข้าเรียนได้เลย ไม่ต้องรอเข้าเรียนในปีการศึกษาถัดไป 3. เพื่อให้สะดวกต่อการบริหารอัตรากำลัง เนื่องจากการเกษียณอายุราชการในวันที่ 30 กันยายน แต่เดิมกำหนดปิดภาคเรียนในวันที่ 11 ตุลาคม ส่งผลต่อการบริหารจัดการด้านอัตรากำลัง 4. เพื่อให้สอดคล้องกับการจัดทำแผนปฏิบัติการประจำปีของสถานศึกษา

ว่าที่ร้อยตรีธนุ กล่าวต่อว่า 5. เพื่อให้นักเรียนชั้น ม.3 และ ม.6 มีโอกาสแก้ผลการเรียนให้จบทันปีการศึกษา โดยการเปิดภาคเรียนในวันที่ 1 พฤษภาคม ทำให้นักเรียนที่มาแก้ผลการเรียนดำเนินการได้สะดวกกว่าการที่โรงเรียนเปิดวันที่ 16 พฤษภาคม อีกทั้งยังลดความเลื่อมล้ำทางการศึกษา เพราะเปิดโอกาสให้นักเรียนได้จบการศึกษาเพิ่มขึ้น สามารถใช้วุฒิการศึกษา ไปทำงานหรือเรียนต่อได้ทันปีการศึกษาถัดไป

ว่าที่ร้อยตรีธนุ กล่าวต่อว่า ส่วนผู้ที่ไม่เห็นด้วย ดังนี้ 1. ช่วงต้นเดือนพฤษภาคมมีสภาพอากาศร้อนไม่เหมาะสมต่อการจัด กิจกรรมหรือการจัดการเรียนการสอน 2. ช่วงต้นเดือนพฤษภาคมมีวันหยุดนักขัตฤกษ์หลายวันส่งผลให้ต้องหยุดเรียน อาทิ วันแรงงาน วันฉัตรมงคล วันพืชมงคล วันวิสาขบูชา 3. การปรับเปลี่ยนวันเปิดภาคเรียนเป็นการปรับเปลี่ยนเพื่อให้สะดวกต่อการบริหารจัดการเท่านั้น ไม่ส่งผลประโยชน์ต่อผู้เรียน 4. การเปิดและปิดภาคเรียนแบบเดิมมีความเหมาะสม

“นอกจากนี้ยังมีความเห็นอื่น ๆ เช่น ควรนับวันครบอายุเข้าเรียนตามปี พ.ศ. เพื่อให้เข้าเรียนในระดับชั้นอนุบาล และระดับชั้นประถมศึกษาได้อย่างเหมาะสม, ควรกำหนดกรอบระยะเวลาเปิดภาคเรียนแบบยืดหยุ่นเพื่อให้สถานศึกษาบริหารจัดการตามบริบทและความเหมาะสมในแต่ละพื้นที่ โดยที่ประชุมได้มีการแสดงความคิดเห็นเรื่องดังกล่าว อย่างกว้างขวาง แต่ยังไม่ได้ข้อสรุป

ดังนั้นที่ประชุมจึงมอบหมายให้ สพฐ. ไปดำเนินการ รับฟังความเห็นจากหน่วยงาน และส่วนราชการ อื่นๆ รวมถึงโรงเรียนเอกชนเพิ่มเติม ทั้งนี้ ที่ประชุมส่วนใหญ่ ค่อนข้างเห็นด้วยกับการเลื่อนเปิด ปิดภาคเรียนที่1 แต่ยังมีความกังวลเรื่องของการนับอายุเด็ก ซึ่งก็จะต้องนำความคิดเห็นที่ได้ไปทบทวน รวมถึงยังต้องมีการศึกษา ปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้น

เพราะหากประกาศใช้ระเบียบใหม่ ทุกหน่วยงานในสังกัดศธ.ต้องปฏิบัติตามไม่ว่าจะเป็น สพฐ. สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวะศึกษา (สอศ.) กรมส่งเสริมการเรียนรู้ (สกร.) ดังนั้นต้องมีการหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้เกิดความรอบคอบ” ว่าที่ร้อยตรีธนุ กล่าว

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน