ประณามพม่าจำคุก7ปี 2นักข่าวรอยเตอร์ คดีได้ภาพช็อกฆ่าหมู่โรฮิงยา
ประณามพม่าจำคุก7ปี – เอเอฟพี รายงานวันที่ 3 ก.ย. ศาลนครย่างกุ้ง ประเทศพม่า ตัดสินจำคุกนายว้า ลอน อายุ 32 ปี และนายจอ โซ อู อายุ 28 ปี สองนักข่าวสังกัดรอยเตอร์ เป็นเวลา 7 ปี จากกรณีครอบครองภาพถ่ายหลุมศพและการสังหารหมู่ชายชาวโรฮิงยา 10 คนในหมู่บ้านอินดิน รัฐยะไข่ เมื่อเดือนธ.ค.2560
นักข่าวทั้งสองถูกตัดสินว่ามีความผิดฐานละเมิดกฎหมายความลับทางการ ได้รับข้อมูลมาโดยมิชอบและมีเจตนาเผยแพร่ความลับแก่ต่างชาติ คำตัดสินนี้ก่อให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ไปถึงระดับโลก เป็นประเด็นขยายออกมาจากการปฏิบัติหน้าที่ของกองทัพและรัฐบาลพม่าต่อชาวโรฮิงยาที่ถูกประณามอย่างกว้างขวาง
ในคดีนี้ สองนักข่าวยืนกรานปฏิเสธข้อกล่าวหา และว่าตำรวจจัดฉากเพื่อจับกุมพวกตนซึ่งทำตามหน้าที่สื่อในการเสนอข้อเท็จจริงของข่าวสาร แต่ผู้พิพากษาเย ละวีน ไม่เห็นพ้องกับคำให้การของนายว้า ลอน และนายจอ โซ อู
“จำเลยทั้งสองคนมีเจตนาต้องการทำลายผลประโยชน์ของรัฐ ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงถูกพิพากษาว่ามีความผิดจริงภายใต้กฎหมายความลับของรัฐ และให้แต่ละคนรับโทษจำคุกเป็นเวลา 7 ปี” ผู้พิพากษากล่าว จากนั้นทั้งสองคนถูกเจ้าหน้าที่ควบคุมตัวกลับไปยังเรือนจำในทันที
นายคนุต ออสต์บี ผู้ประสานงานด้านมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ในพม่า กล่าวว่าจะเดินหน้าเรียกร้องจนกว่าทางการพม่าจะยอมปล่อยตัวสองนักข่าวให้กลับมาเจอหน้าครอบครัว และทำหน้าที่สื่อมวลชนต่อไป
ขณะที่นายสตีเฟ่น เจ. แอดเลอร์ บรรณาธิการสำนักข่าวรอยเตอร์ ต้นสังกัดของนายว้า ลอน และนายจอว์ โว อู แถลงการณ์ประณามคำตัดสิน
“วันนี้เป็นวันที่น่าเศร้าสำหรับพม่า และการสื่อสารมวลชนในทุกๆ ที่ ข้อกล่าวหาดังกล่าวเป็นเท็จ มีเจตนาเพื่อปกปิดการรายงานข่าวสาร และข่มขู่สื่อมวลชน”
การตัดสินดังกล่าวเกิดขึ้นภายหลังคณะกรรมการอิสระระหว่างประเทศว่าด้วยภารกิจค้นหาความจริงแห่งสหประชาชาติ เปิดเผยรายงานการตรวจสอบกรณีกวาดล้างชาวโรฮิงยาเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า กองทัพพม่ากระทำการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวโรฮิงยาและก่ออาชญากรรมต่อต้านมนุษยชน พร้อมระบุรายชื่อผู้บัญชาการทหารระดับสูงที่สมควรถูกดำเนินคดี รวมถึงพล.อ.มิน อ่อง ไหล่ ผู้บัญชาการทหารสูงสุดของพม่า
นอกจากนี้เมื่อวันเสาร์ที่ 1 ก.ย. กลุ่มนักเคลื่อนไหวและนักข่าวมากกว่า 100 คนยังเดินขบวนในนครย่างกุ้งเพื่อกดดันให้ทางการปล่อยตัวนายว้า ลอน กับนายจอว์ โว อู และเรียกร้องสิทธิเสรีภาพในการเข้าถึงข่าวสาร
อ่านข่าวก่อนหน้านี้ :