เมื่อวันที่ 31 ม.ค. เอเอฟพีรายงานว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐอเมริกา ลงนามในคำสั่งปลดนางแซลลี เยตส์ รักษาการอัยการสูงสุดสหรัฐ หรือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เพราะไม่พอใจที่ฝ่าฝืนคำสั่งของตน ในการห้ามพลเรือนจากชาติมุสลิม 7 ประเทศเข้าสู่สหรัฐ ได้แก่ อิหร่าน อิรัก ลิเบีย โซมาเลีย ซูดาน เยเมน และซีเรีย

 

ทำเนียบขาว ระบุในคำสั่งปลดนางเยตส์อย่างรุนแรง ว่า ขาดความเด็ดขาดในการปฏิบัติงานด้านการสกัดผู้อพยพผิดกฎหมาย โดย “ทรยศ” ต่อกระทรวงยุติธรรม ด้วยการปฏิเสธที่จะบังคับใช้กฎหมายที่ออกแบบมาเพื่อปกป้องพลเมืองชาวอเมริกัน พร้อมแต่งตั้งนายดานา โบเอ็นเต ขึ้นมาแทน โดยนายโบเอนเตประกาศยืนยันทันทีว่า กระทรวงยุติธรรมนี้จะปฏิบัติหน้าที่เพื่อปกป้องคำสั่งของประธานาธิบดีทรัมป์ที่มีความชอบธรรมตามกฎหมายอย่างสมบูรณ์

นางแซลลี เยตส์

คำสั่งปลดฟ้าผ่านี้เกิดขึ้นเพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังนางเยตส์มีบันทึกถึงพนักงานรัฐของกระทรวงยุติธรรมทุกคนว่าไม่ต้องปกป้องความไม่ชอบธรรมของคำสั่งดังกล่าวจากประธานาธิบดีทรัมป์ เนื่องจากมองว่าขัดต่อกฎหมายและไร้ศีลธรรม

 

“ความรับผิดชอบของดิฉัน ไม่ใช่เพียงแค่ทำให้จุดยืนของกระทรวงยุติธรรมนั้นอยู่บนพื้นฐานของหลักนิติธรรม แต่ยังเป็นการรักษาภาพพจน์ของกฎหมายไว้ด้วย

ดิฉันไม่เชื่อว่าการออกมาปกป้องจุดยืนของคำสั่งดังกล่าวของประธานาธิบดีจะสามารถใช้พื้นฐานของหลักนิติธรรมได้ และดิฉันไม่เชื่อว่าคำสั่งดังกล่าวนั้นเป็นไปตามกฎหมาย

ดังนั้นตราบใด ที่ดิฉันยังเป็นรักษาการณ์รัฐมนตรีกระทรวงแห่งนี้ กระทรวงยุติธรรมจะไม่สนับสนุนรัฐบาลด้วยการปกป้องความไม่ชอบธรรมของคำสั่งดังกล่าว” นางเยตส์ ระบุ

 

คำสั่งดังกล่าวบานปลายจนมีชาวอเมริกันออกมาประท้วงตามท่าอากาศยานและสถานที่ชุมนุมทั่วประเทศ ขณะที่ บรรดาเอกอัครราชทูตและนักการทูตอเมริกัน ร่วมกันร่างบันทึกความเห็นต่าง แสดงความไม่เห็นด้วยต่อนโยบายดังกล่าวของรัฐบาลสหรัฐ

 

นายฌอน สไปเซอร์ โฆษกทำเนียบขาว กล่าวตอบโต้บันทึกความเห็นต่างของนักการทูตว่า เป็นสิ่งที่เกินกว่าเหตุ เพราะในช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมานั้นมีผู้เดินทางเข้าสหรัฐ 325,000 คน ในจำนวนนี้ มีผู้ถูกกักตัวและส่งกลับเพียง 109 คน เพราะอยู่ใน 7 ประเทศต้องห้าม หากไม่คิดจะช่วยกันทำงานก็ควรจะลาออกไป

นายดานา โบเอ็นเต

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน