จอร์จ ทาเคอิ ดาราสตาร์เทร็ก ชูธงประชาธิปไตย-ความเท่าเทียม

จอร์จ ทาเคอิเอ็นเอชเค รายงานประวัติ จอร์จ ทาเคอิ นักแสดงฮอลลีวูดเชื้อสายญี่ปุ่น ในมุมการเมือง หลังจากแฟนภาพยนตร์ทั่วโลกรู้จักเขาจากบท “ซูลู” ในภาพยนตร์ซีรีส์ เรื่อง สตาร์ เทรค หรือ สงครามพิฆาตจักรวาล

ทาเคอิเป็นคนกล้าหาญและเป็นนักเคลื่อนไหวทางการเมืองมานาน อีกทั้ง ยืนหยัดต่อสู้เพื่อสิ่งที่เชื่ออย่างไม่ลดละ

ทาเคอิ อายุ 83 ปีแล้ว / FB : George Takei

ปีนี้ ทาเคอิมองเห็น 3 ปัญหาใหญ่ที่รุมเร้ากันเข้ามา ไม่ว่าการระบาดของโควิด-19 ความไม่เป็นธรรมทางเชื้อชาติอย่างเป็นระบบและการเปลี่ยนแปลงสภาวะอากาศ แต่ชาวอเมริกันเชื้อสายญี่ปุ่น วัย 83 ปีคนนี้ ยังต่อสู้เพื่อปรับปรุงชีวิตผู้คนรอบข้างด้วยการเรียกร้องให้มีประชาธิปไตยและมีความเท่าเทียมกันทุกคน

ชีวิตวัยเยาว์ ช่วงเวลาแห่งความมืดมนในประวัติศาสตร์

หลังจากจักรวรรดิญี่ปุ่นถล่มอ่าวเพิร์ล ฮาเบอร์ ในเดือน ธ.ค. 2484 นายแฟรงกลิน ดี. รูสเวลต์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ใช้อำนาจพิเศษของประธานาธิบดีขับไล่ทาเคอิและชาวอเมริกันเชื้อสายญี่ปุ่นประมาณ 120,000 คน ไปค่ายกักกันโดยไม่มีการพิจารณาคดีทั้งสิ้น

ทาเคอิกล่าวว่าพ่อเกิดที่ญี่ปุ่น แต่ย้ายมาอยู่เมืองซานฟรานซิสโกตั้งแต่ยังเด็กและเรียนหนังสือที่นั่น ส่วนแม่และตนแม้เกิดในสหรัฐ แต่สถานการณ์พลิกผันเพียงชั่วข้ามคืน ครอบครัวตนถูกมองด้วยสายตาหวาดกลัว สงสัยและเกลียดชังอย่างที่สุด

ถล่มเพิร์ล ฮาร์เบอร์ / Pearl Harbor attack A U.S. battleship sinking during the Pearl Harbor attack.
National Archives, Washington, D.C.

ตอนที่ทหารไล่ครอบครัวออกจากบ้านในรัฐแคลิฟอร์เนีย ทาเคอิมีอายุเพียง 5 ขวบ ครอบครัวถูกส่งไปศูนย์ประมวลผล ก่อนที่จะถูกส่งไปศูนย์ย้ายถิ่นฐานจากสงครามโรห์เวอร์ในรัฐอาร์คันซอ จากนั้น ส่งต่อไปยังศูนย์คัดแยกเชื้อชาติทูเล เลก ในรัฐแคลิฟอร์เนีย

ครอบครัวต้องอยู่ที่นี่ 3 ปีในสภาพไม่ต่างจาก “คุก” เพราะมีทหารยามคอยจับจ้องมองอยู่ตลอดเวลา มีรั้วลวดหนามกับหอคอยล้อมรอบและทาเคอิยังจำได้ดีว่ามีทหารหลายนายเล็งปืนมาที่ตนตอนที่จะไปเข้าส้วม

ขณะอยู่ที่ค่ายแรก ผู้ถูกขังต้องตอบคำถามวัดความซื่อสัตย์ ครอบครัวทาเคอิไม่มีทางเลือกเพราะไม่ว่าผู้ถูกขังจะตอบอย่างไรก็นำพาไปสู่ความยุ่งยากทั้งสิ้น

คำถามหนึ่งถามว่าต้องการเข้าร่วมกองทัพเมื่อได้รับคำสั่งหรือไม่ หากตอบว่า “ใช่” หมายความว่าพ่อและแม่จะต้องทิ้งลูกทั้ง 3 คนและจับอาวุธต่อสู้ให้กับประเทศที่กักขังครอบครัวตัวเองซึ่งพ่อแม่ตอบว่า “ไม่”

ส่วนอีกคำถามหนึ่งถามว่าจะไม่สาบานว่าจะจงรักภักดีต่อจักรพรรดิญี่ปุ่นได้หรือไม่ซึ่งทาเคอิและครอบครัวไม่เคยคิดว่าจะต้องเชื่อฟังอำนาจต่างชาติเพราะพวกตนเป็นชาวอเมริกัน ดังนั้น จึงตอบว่า “ได้”

คำตอบนำไปสู่ข้อสรุปว่าพวกเขา “ไม่ซื่อสัตย์” จึงถูกส่งตัวไปค่ายที่ 2

George Takei

วาดฝันแรงบันดาลใจจากพ่อ

แม้ต้องทนทุกข์ในค่ายหลายแห่ง แค่ทาเคอิรอดชีวิตมาได้ซึ่งต้องขอบคุณพ่อแม่

พ่อเป็นผู้ชายไม่ธรรมดา ไม่เพียงแต่เคารพคำสั่งและความเป็นมนุษยธรรมเท่านั้น แต่ยังช่วยเหลือครอบครัวอื่นๆ ในค่ายด้วย

หลังจากได้รับอิสระ ครอบครัวต้องปากกัดตีนถีบเพราะรายได้ต่ำจึงต้องอยู่อย่างคนจน ในนครลอสแองเจลิส ซึ่งทาเคอิย้อนความหลังว่าเสียวสันหลังวาบเมื่อคิดถึงตอนพี่สาววัย 4 ขวบเอ่ยปากขอแม่ให้พากลับ “บ้าน” ในค่าย

George Takei

ด้านพ่อของทาเคอิมุ่งมั่นทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของครอบครัวดีขึ้นและสัญญาว่าเด็กๆ จะมีอนาคต เริ่มจากการเป็นคนล้างจานแล้วขยับขยายมาเปิดร้านซักแห้ง จนในที่สุด ได้เป็นเจ้าของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์

ค้นพบความหลงใหลในกิจกรรมทางการเมือง

ความหลงใหลในการทำกิจกรรมทางการเมืองเพิ่มขึ้นเมื่อทาเคอิเติบโตเป็นวัยรุ่นจากคำสอนของพ่อที่ให้ต่อสู้เพื่อความยุติธรรมและความเสมอภาค

พ่อของทาเคอิกล่าวว่าโครงการค่ายกักกันของรัฐบาลสหรัฐฯ ประสบความสำเร็จได้เพราะชาวอเมริกันเชื้อสายญี่ปุ่นไม่มีผู้นำทำกิจกรรมทางการเมืองและสังคมนอกชุมชนและเพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดโศกนาฏกรรมซ้ำสอง ชาวอเมริกันเชื้อสายญี่ปุ่นจะต้องมีส่วนร่วมตามระบอบประชาธิปไตย ไม่ใช่แค่สนับสนุนผู้แทนที่ดีหรือเห็นด้วยกับประเด็นที่ดี ไม่ใช่เพียงลงคะแนนเสียง แต่ต้องอุทิศเวลาและอาสาสนับสนุนผู้แทนด้วย

George Takei

ส่วนทาเคอิเองร่วมเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิพลเรือน ทั้งเดินขบวนกับมาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ เพื่อต่อสู้เรียกร้องสิทธิพลเมืองชาวแอฟริกัน-อเมริกันซึ่งจำได้ว่าตนเองตื่นเต้นมากที่ได้จับมือกับศาสนาจารย์

นอกจากนี้ ยังร่วมกับดาราดังอย่างเจน ฟอนดาและโดนัลด์ ซูเธอร์แลนด์ ต่อต้านสงครามเวียดนามและเรียกร้องสันติภาพ

การขับเคลื่อนกิจกรรมในปัจจุบัน

ทาเคอิคิดว่าบรรยากาศทางการเมืองย่ำแย่ลงเพราะประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ก่อให้เกิดความแตกแยก เช่น เรียกไวรัสโคโรนา ว่า “ไวรัสจีน” หรือใช้อำนาจพิเศษของประธานาธิบดีสั่งห้ามชาวมุสลิมเดินทางเข้าประเทศ อีกทั้ง แยกครอบครัวผู้อพยพที่เข้ามาทางใต้ของสหรัฐฯ ซึ่งเหมือนภาพสะท้อนที่เคยเผชิญมาตั้งแต่เด็กว่าเป็น “ช่วงเวลาแห่งความมืดมนในประวัติศาสตร์”

George Takei

แต่ทาเคอิไม่เลิกต่อสู้เพื่อความยุติธรรมในสังคมและใช้ความมีชื่อเสียงที่มีคนติดตามทางเฟซบุ๊ก 9 ล้านคน มีคนติดตามทางทวิตเตอร์ 3 ล้านคนและทางอินสตาแกรมกว่าล้านคน รณรงค์ให้ออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งประธานาธิบดีที่ผ่านมา

เพราะเชื่อตามที่พ่อเคยสอนไว้ว่าการเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้นได้ เมื่อประชาชนมีส่วนร่วมตามระบอบประชาธิปไตยและเป็นแรงใจให้ร่วมกันสร้างครอบครัวใหญ่ของผู้รู้แจ้งเห็นจริง

//////////////

//////

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง :

อามัล คลูนีย์ทนายระดับโลก จวกรัฐบาลไทยใช้ .112 เอาผิดแกนนำม็อบ

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน