ผลชันสูตรชี้ – เอพี รายงานความคืบหน้าการสอบสวนคดีฆาตกรรมที่อยู่ในความสนใจของชาวอเมริกันมาพักใหญ่ เนื่องจากผู้ตาย แก็บบี เปติโต วัย 22 ปี เป็นดาวดังในโลกโซเชียลที่มีผู้ติดตามการเดินทางท่องเที่ยวอุทยานธรรมชาติไปทั่วประเทศ พร้อมกับคู่หมั้นหนุ่ม ไบรอัน ลอนดรี วัย 23 ปี ที่ต่อมากลายเป็นบุคคลน่าสงสัยว่าพัวพันการตายของเปติโต
ผลการชันสูตรพลิกศพที่เผยแพร่เมื่อ 12 ต.ค. ระบุว่า เปติโตถูกรัดคอจนสิ้นใจตาย 3-4 สัปดาห์ ก่อนเจ้าหน้าที่พบศพวันที่ 19 ก.ย. ใกล้กับพื้นที่ตั้งแคมป์ที่ยังไม่ได้พัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยว ริมเขตอุทยานแห่งชาติแกรนด์ เททัน ทางเหนือของรัฐไวโอมิง
ดร.เบรนต์ บลู ผู้นำทีมชันสูตรพลิกศพ กล่าวว่า จะเปิดเผยรายละเอียดมากไปกว่านี้ไม่ได้ เนื่องจากกฎหมายของรัฐไวโอมิงจำกัดเนื้อหาการเปิดเผยผลชันสูตรไว้
ก่อนหน้านี้ ดร.บลูเป็นคนเผยกับสื่อว่า สาวเปติโตถูกฆ่าตายโดยบุคคลอื่น แต่ไม่ได้บอกว่าเสียชีวิตได้อย่างไร กระทั่งเมื่อผลชันสูตรพลิกศพออกมาแล้วว่า เปติโตถูกฆ่ารัดคออย่างชัดเจน อาจเป็นการใช้มือบีบคอ หรือรัดด้วยเชือกหรืออุปกรณ์อื่น ส่วนคำถามว่าหญิงสาวตั้งครรภ์อยู่หรือไม่ ดร.บลูยืนยันได้ว่า ไม่
จากผลการชันสูตรนี้ ทำให้สื่อต้องติดตามต่อว่า นายลอนดรี ซึ่งเจ้าหน้าที่ยังหาตัวไม่พบ จะถูกตั้งข้อหาเพิ่มเติมหรือไม่ หลังจากถูกตั้งข้อหาไปแล้วว่า ใช้บัตรรูดเงินสด หรือ เดบิตการ์ด 1,000 ดอลลาร์ ของผู้อื่นโดยไม่ได้รับการอนุมัติจากเจ้าของบัตร ซึ่งช่วงเวลานั้นตรงกับที่สาวเปติโตหายตัวไป
นอกจากนี้ วันที่ 12 ส.ค. เจ้าหน้าที่มีบันทึกคลิปภาพขณะเข้าแทรกแซงคู่รักคู่นี้ ขณะได้รับแจ้งว่าทั้งสองมีปากเสียงกันบนเส้นทางที่อยู่ในรถแวนด้วยกัน ในอุทยานรัฐยูทาห์ ตอนนั้นตำรวจไม่ได้ตั้งข้อหาอะไร และไม่มีรายงานว่ามีใครบาดเจ็บร้ายแรง
คดีนี้กลายเป็นข่าวใหญ่ตั้งแต่พ่อแม่ของหญิงสาวเปติโตไปแจ้งความวันที่ 11 ก.ย. ว่าลูกสาวหายตัวไปด้วยความวิตก เนื่องจากไม่ได้รับหรือตอบรับข้อความหรือการติดต่อใดๆ หลังจากเปติโตออกเดินทางไปพร้อมแฟนหนุ่ม เยือนอุทยานที่รัฐโคโลราโด รัฐยูทาห์ และรัฐอื่นๆ ซึ่งผิดปกติมากจากเดิมที่หญิงสาวเคยโพสต์รูป ข้อความ และโทร.หาครอบครัวเสมอ
.ตำรวจและเจ้าหน้าที่ฝ่ายต่างๆ ระดมกำลังออกตามหาหญิงสาว กระทั่งพบศพวันที่ 19 ก.ย. ท่ามกลางการติดตามและนำเสนอข่าวของสื่อมวลชนอย่างต่อเนื่อง คดีดังกล่าวจึงเป็นประเด็นถกเถียงด้วยว่า คดีที่ผู้หญิงที่เป็นชนเผ่า หรือมีผิวสีอื่น หายตัวไป กลับไม่ได้รับความสนใจมากเท่ากับผู้หญิงผิวขาว หรือที่เรียกว่า “missing white woman syndrome”
……
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง :