เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 20 ก.ย. ที่ห้องพิจารณาคดี 712 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลอาญานัดอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์นัดอ่านคำพิพากษา คดีหมายเลขดำ อ.630/2557 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 8 และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นโจทก์และโจทก์ร่วมยื่นฟ้อง นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรคประชาธิปัตย์, นายเทพไท เสนพงศ์ อดีต ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ และนายศิริโชค โสภา อดีต ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ ผู้ดำเนินรายการ “สายล่อฟ้า” ทางสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมบลูสกาย เป็นจำเลยที่ 1-3 ในความผิดฐานหมิ่นประมาทผู้อื่นโดยการโฆษณา และดูหมิ่นเจ้าพนักงานซึ่งปฏิบัติงาน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 136, 326, 328 และ 332

201609201306077-20061002150020-1

ทั้งนี้ สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 10 และ 15 กุมภาพันธ์ 2555 จำเลยร่วมกันจัดรายการ “สายล่อฟ้า” ออกอากาศผ่านดาวเทียมบลูสกาย มีเนื้อหาหมิ่นประมาทใส่ความ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ผู้เสียหาย ทำนองว่าไม่เข้าร่วมภารกิจประชุมของรัฐสภา และน่าจะเดินทางไปกระทำภารกิจ ว.5 ที่โรงแรมโฟรซีซั่นส์

6908823867_33f4fb2577_o

โดยคดีนี้ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา เห็นว่าจำเลยทั้งสามกระทำความผิดฐานหมิ่นประมาท โดยการโฆษณาตามฟ้องจริงให้จำคุกจำเลยทั้งสาม คนละ 1 ปี ปรับคนละ 5 หมื่นบาท แต่จำเลยทั้งสามไม่เคยต้องโทษมาก่อน จึงให้รอลงอาญาไว้ 2 ปี ต่อมาจำเลยทั้งสามยื่นอุทธรณ์
ในวันนี้นายชวนนท์ นายเทพไท และนายศิริโชค จำเลยที่ 1-3 เดินทางมาฟังคำพิพากษา ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือว่าแล้วเห็นว่า ที่จำเลยทั้งสามอุทธรณ์ว่า จำเลยปฎิบัติหน้าที่เป็นพรรคการเมืองฝ่ายค้าน ย่อมมีหน้าที่ตรวจสอบโจทก์ร่วม ซึ่งมีตำแหน่งนายกรัฐมนตรีไม่ว่าจะเป็นเรื่องการบริหารราชการแผ่นดินหรือเรื่องส่วนตัว ศาลเห็นว่าโจทก์ร่วมมีตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นบุคคลสาธารณะซึ่งสามารถที่จะตรวจสอบได้ แต่การตรวจสอบต้องกระทำอยู่ภายใต้กฎหมาย หากการตรวจสอบกระทำไปโดยไม่คำนึงถึงผลที่เกิดและเผยแพร่ไปยังสื่อมวลชน ทำให้โจทก์ร่วมได้รับความเสียหาย และอาจส่งผลสร้างความเสียหายไปถึงกระบวนการยุติธรรมได้ อีกทั้งการจัดรายการของจำเลยทั้งสามมีการใช้ถ้อยคำที่มีความหมายพิเศษ จากหลักฐานที่โจทก์ร่วมนำสืบว่าถ้อยคำของจำเลยทั้งสามแสดงให้คนทั่วไปเห็นว่า การกระทำของโจทก์เป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสมทางเพศ

ส่วนที่จำเลยอุทธรณ์ว่าคำฟ้องโจทก์เป็นการนำข้อความของจำเลยคนละช่วงในการจัดรายการมาปะปนกันและเป็นการคาดคะเนของโจทก์ร่วมเอง เห็นว่า การฟ้องโจทก์จำเป็นต้องนำข้อความในส่วนที่มีลักษณะหมิ่นประมาทโจทก์มายื่นฟ้อง การยื่นฟ้องดังกล่าวจึงไม่ได้เป็นการตัดต่อข้อความ ซึ่งศาลจะเป็นผู้พิจารณาข้อความทั้งหมดเหมือนการอ่านหนังสือหรือชมภาพยนตร์ทั้งเรื่อง ไม่ได้มีการพิจารณาเฉพาะข้อความบางท่อน

ส่วนที่จำเลยอ้างว่าเป็นการแสดงความเห็นโดยสุจริตเพื่อให้โจทก์ร่วมออกมาชี้แจงเหตุการณ์ที่ไปปฎิบัติภารกิจในวันดังกล่าว ศาลมองว่าการกระทำของจำเลยไม่ได้เป็นการแสดงความเห็นโดยสุจริตแต่ลักษณะการพูดเป็นการชี้นำในรายการ ข้อเท็จจริงไม่ตรงกับที่จำเลยอ้าง ส่วนที่จำเลยยังอุทธรณ์อีกว่าหากมีการพิสูจน์ข้อเท็จจริงถึงการทำภารกิจของโจทก์ร่วมในวันเกิดเหตุดังกล่าวจะเป็นเหตุไม่ต้องรับโทษเนื่องจากเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะนั้น ศาลเห็นว่าจำเลยไม่ได้นำสืบข้อเท็จจริงดังกล่าวในการต่อสู้คดี ที่จำเลยอุทธรณ์มานั้นยังรับฟังไม่ได้

ส่วนที่โจทก์ร่วมขอให้มีการลงโทษจำเลยโดยไม่รอการลงโทษ นั้นศาลเห็นว่า จากเหตุการณ์ดังกล่าวตัวโจทก์ร่วมเองก็ไม่ได้ชี้แจงข้อเท็จจริงเหตุการณ์ในวันเกิดเหตุให้กระจ่าง การกระทำจำเลยต้องการให้โจทก์ร่วมออกมาชี้แจงเรื่องภารกิจในวันดังกล่าว การกระทำเป็นเจตนาดีสมควรให้รอการลงโทษ ที่ศาลชั้นต้นพิพากษามา ศาลอุทธรณ์เห็นพ้องด้วย พิพากษายืนจำคุกจำเลยทั้งสามคนละ 1 ปี ปรับคนละ 5 หมื่นบาท โทษจำให้รอลงอาญาไว้ 2 ปี

ภายหลังฟังคำพิพากษา นายเทพไท ขอปรึกษาทนายความก่อนว่า จะยื่นฎีกาต่อสู้คดีหรือไม่ เนื่องจากสองศาลพิพากษาตรงกัน หากจะยื่นฏีกาต่อสู้คดี จะต้องมีการขออนุญาตฎีกา

 

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน