จนมุมอีกราย ปล้นเพชร 5 ล้าน ‘บิ๊กอวบ’ คุมทำแผนฯ ล่าอีก1 คาดซุกเมืองกาญจน์

ปล้นเพชร 5 ล้าน / เมื่อวันที่ 8 พ.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานจากกรณีคนร้าย 3 คน บุกปล้นร้านขายสินค้าหลุดของจำนำ ย่านเพชรเกษม ได้เครื่องเพชรมูลค่า 5 ล้านบาทไป เมื่อวันที่ 2 พ.ค.

ต่อมาตำรวจ สน.เพชรเกษม สามารถจับกุมนายนพอนันต์ ภูษิตรุ่งโรจน์ หนึ่งในผู้ก่อเหตุไว้ได้ ก่อนส่งฝากขังตามที่เป็นข่าวไปแล้ว

ล่าสุดมีรายงานว่าตำรวจสามารถติดตามจับกุมตัวคนร้ายได้เพิ่มอีก 1 คน โดยเมื่อ 11.00 น. วันนี้ พล.ต.อ.เฉลิมเกียรติ ศรีวรขาน รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พล.ต.ท.สุทธิพงษ์ วงษ์ปิ่น ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล พร้อมชุดสืบสวน นำตัวนายวุฒิชัย ล้านเหรียญทอง คนร้ายที่ก่อเหตุอีก1ราย ไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพยังร้านที่เกิดเหตุ หน้าปากซอยเพชรเกษม63

เริ่มจากนายวุฒิชัยเข้ามาในร้านและนำปืนวางที่ตู้โชว์สินค้า โดยมีกระเป๋าเป้สีดำวางทับไว้ จากนั้นจึงเดินอ้อมเข้าไปในเคาน์เตอร์ ก่อนบังคับให้พนักงานและเจ้าของร้านหมอบลง และใช้อาวุธปืนตีเข้าศีรษะของเจ้าของร้านหลายครั้ง

ก่อนจะหยิบทรัพย์สินภายในตู้ที่2 ใส่กระเป๋าหลบหนีขึ้นรถจักรยานต์ที่จอดไว้ห่างจากร้าน 100 เมตร ไปแบ่งทรัพย์สินกันที่ซอยเพชรเกษม 83 และแยกย้ายกันหลบหนี ซึ่งหลังนำตัวนายวุฒิชัยมาทำแผนประกอบคำรับสารภาพเสร็จสิ้นแล้ว ตำรวจได้คุมตัวขออำนาจศาลอาญาธนบุรีฝากขังผัดแรกทันที

พล.ต.อ.เฉลิมเกียรติ เปิดเผยว่า จากข้อมูลและพยานหลักฐานที่เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวน ทราบว่านายนพอนันต์เป็นคนร้ายที่ร่วมก่อเหตุ ได้หลบหนีไปที่บ้านญาติอำเภอเมืองจังหวัดชัยภูมิ จึงสืบสวนและสามารถจับกุมได้พร้อมของกลางบางส่วนและรถจักรยานยนต์ที่ใช้ก่อเหตุ

โดยนายนพอนันต์รับสารภาพว่าได้ร่วมกับนายวุฒิชัย และนายต้น (ไม่ทราบชื่อ-นามสกุล) ก่อเหตุดังกล่าว จนกระทั่งล่าสุดสามารถจับกุมนายวุฒิชัยพร้อมของกลางได้ที่บริเวณหน้าร้านสะดวกซื้อย่านอำเภอกระทุ่มแบน จังหวัดสมุทรสาคร

ด้านพล.ต.ท.สุทธิพงษ์ กล่าวว่า เบื้องต้นนายวุฒิชัยให้การรับสารภาพว่านายนพอนันต์ชักชวนให้มาร่วมก่อเหตุ ซึ่งเป็นสิทธิของผู้ต้องหาในการให้การ แต่ตำรวจต้องตรวจสอบข้อเท็จจริงอย่างละเอียดก่อน สาเหตุที่ทำไปเพราะต้องการเงินไปใช้จ่าย ทั้งนี้ยังเหลือผู้ต้องหาอีก1ราย คือนายต้น ที่ยังหลบหนีอยู่บริเวณจังหวัดกาญจนบุรี คาดว่าจะได้ตัวในวันนี้ เพราะตำรวจอยู่ระหว่างลงพื้นที่ติดตามตัวมาดำเนินคดีอย่างใกล้ชิด

ด้านพนักงานในร้านเล่าว่า ก่อนเกิดเหตุนายนพอนันต์เคยเข้ามาซื้อสมาร์ททีวีแต่ใช้ไม่เป็น จึงให้พนักงานในร้านสอนอยู่เป็นเวลานาน จึงทำให้จดจำเสียงและกลิ่นน้ำหอมได้ นอกจากนี้ยังเป็นลูกค้าที่เคยนำแท็บเล็ตมาขายฝากกับทางร้าน

ต่อมาวันที่ 25 เม.ย. ทำทีเข้ามาอ้างว่าใบฝากขายหาย และให้พนักงานค้นหาเอกสารให้ กระทั่งวันเกิดเหตุ นายนพอนันต์สวมหมวกกันน็อคเข้ามา โดยมีจุดสังเกตที่ทำให้จดจำได้คือ แววตา น้ำเสียง และกลิ่นน้ำหอม ทำให้รู้ว่าคนร้ายคือนายนพอนันต์

ด้านนายศิริชัย อาศัยพาณิชย์ เจ้าของร้าน กล่าวขอบคุณเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนสอบสวนที่ติดจามจับกุมคนร้ายมาดำเนินคดีได้ โดยใช้เวลาเพียงไม่กี่วัน และสามารถนำทรัพย์สินของกลางกลับมาคืนได้ประมาณร้อยละ80ของที่ถูกปล้นไป

นายศิริชัยบอกว่า ขณะเกิดเหตุ ตนเองโยนกระเป๋าสตางค์ออกจากตัว เพื่อให้คนร้ายหันหน้าไปทางกล้องวงจรปิด จะได้สามารถจับภาพคนร้ายได้ใกล้และชัดเจนที่สุด ถึงแม้นาทีนั้นจะเสี่ยงอันตรายก็ตาม สำหรับแนวทางป้องกันหลังจากนี้ทางร้านจะติดลูกกรงเหล็ก และก่อนจะเข้าร้านต้องถอดหมวกกันน็อค หมวกแก๊ป ออกก่อน

เบื้องต้นตำรวจแจ้งข้อหา ร่วมกันปล้นทรัพย์โดยใช้อาวุธ, ปลอมตัวเป็นบุคคลอื่นเพื่อไม่ให้เห็นจดจำได้ในการกระทำความผิด ,มีอาวุธเพื่อร่วมกระทำผิดตั้งแต่2คนขึ้นไป,ทำร้ายร่างกายผู้อื่นเป็นเหตุให้เกิดอันตรายทางร่างกายและจิตใจ ข่มขื่นใจผู้อื่นให้กระทำการใดโดยให้หวาดกลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต,รับของโจร

สำหรับของกลาง ตำรวจสามารถติดตามทรัพย์ที่ถูกปล้นไปคืนมาได้จำนวน 108 ชิ้น รวมมูลค่ากว่า4ล้านบาท จาก 141 ชิ้น เช่น เครื่องเพชร ทองคำ นาฬิกาหรู

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน