ทรัมป์ตัดสินใจระงับมาตรการภาษี “สินค้าไทย” กระทบเกือบ 4 หมื่นล้าน เซ่นวิกฤตสิทธิแรงงาน พาณิชย์โร่แจงแล้ว

วันที่ 26 ต.ค. สำนักข่าวรอยเตอร์ และ บิสซิเนสไทมส์ รายงานว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐอเมริกา ระบุในจดหมายที่ยื่นต่อนางแนนซี เพโลซี ประธานสภาผู้แทนราษฎร และนายไมก์ เพนซ์ รองประธานาธิบดี และประธานวุฒิสภา เมื่อวันศุกร์ที่ 25 ต.ค.ที่ผ่านมา

มีใจความสำคัญระบุว่า นายทรัมป์มีคำสั่งให้ระงับข้อตกลงตาม มาตรการสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร (จีเอสพี) กับสินค้าบางชนิดที่นำเข้าจากประเทศไทย เป็นการชั่วคราว ภายหลังทางการไทยไม่สามารถยกระดับสิทธิแรงงานให้เทียบเท่ามาตรฐานสากล

สำนักงานคณะผู้แทนการค้าสหรัฐอเมริกา (ยูเอสทีอาร์) ระบุว่าคำสั่งระงับมาตรการจีเอสพีกับไทย จะเริ่มบังคับใช้ใน 6 เดือนข้างหน้า หรือภายในวันที่ 25 เม.ย.2563 และมีผลกระทบกับสินค้าที่อยู่ภายใต้ข้อตกลงราว 1 ใน 3 ส่วน คิดเป็นมูลค่ารวม 1,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 39,000 ล้านบาท

ขณะที่สินค้าอาหารทะเลทั้งหมดของไทยจะถูกเพิกถอนสิทธิพิเศษจีเอสพี เนื่องจากไม่มีการแก้ไขวิกฤตสิทธิและสวัสดิการแรงงานชาวประมง นอกจากประเทศไทยแล้ว นายทรัมป์ยังมีคำสั่งให้เปิดการทบทวนมาตรการจีเอสพีกับสินค้าบางชนิดของแอฟริกาใต้ จากกรณีละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา เช่นเดียวกับอาเซอร์ไบจานที่มีปัญหาน่ากังวลเกี่ยวกับสิทธิแรงงาน

อย่างไรก็ตาม นายทรัมป์ได้ฟื้นมาตรการจีเอสพีกับยูเครน ซึ่งมีความคืบหน้าในความพยายามแก้ปัญหาการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา ซึ่งก่อนหน้านี้ยูเครนถูกสหรัฐระงับสิทธิดังกล่าวเป็นการชั่วคราว และส่งผลกระทบต่อสินค้าคิดเป็นมูลค่ากว่า 1,085 ล้านบาท ส่วนการพิจารณาสินค้าที่มีปัญหาน่าวิตกจากโบลิเวีย อิรัก และอุซเบกิสถาน ได้รับการตรวจสอบแล้ว และไม่มีการเปลี่ยนแปลงมาตรการจีเอสพี

มีรายงานเพิ่มเติมว่า นายกีรติ รัชโน ผู้ตรวจราชการกระทรวงพาณิชย์ รักษาราชการแทนอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ จะแถลงข่าวเรื่อง กรณีสหรัฐตัดสิทธิ GSP ไทย ในวันจันทร์ที่ 28 ตุลาคมนี้ ที่กรมการค้าต่างประเทศ ตามนโยบายนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์

ทั้งนี้ มีรายงานเพิ่มเติมจากสาเหตุที่แท้จริง ต่อกรณีนี้ว่า เป็นการตอบโต้ทางการไทย ที่สั่งแบน 3 สารพิษ ซึ่งสหรัฐได้ทักท้วง โดยสถานทูตสหรัฐประจำประเทศไทย ได้ทำหนังสือถึงรัฐบาลมาแล้ว ส่วนสำหรับทางออกต่อกรณีนี้นั้น รัฐบาลเตรียมใช้เวทีการประชุมระหว่างประเทศ โดยเฉพาะการประชุมอาเซียนซัมมิท ในวันที่ 2-4 พ.ย. ซึ่งจะมีเวทีคู่ขนาน และจะมีตัวแทนจากทางการสหรัฐมาร่วมประชุม เพื่อหาทางแก้ปัญหาต่อไป

ด้านนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พาณิชย์ กล่าวถึงกรณี สถานทูตสหรัฐประจำประเทศไทยได้ทำหนังสือถึงรัฐบาลไทย เรื่องขอให้ทบทวนการแบน 3 สารเคมีภาคเกษตร โดยเฉพาะสารไกลโฟเซต ซึ่งเรื่องดังกล่าว จะส่งผลกระทบต่อการส่งสินค้าเกษตรมายังไทยอย่างไรว่า เรื่องดังกล่าวได้ส่งมายังกระทรวงพาณิชย์ โดยที่ตนได้นำเอกสารดังกล่าวส่งต่อไปยังกรมการค้าต่างประเทศ ซึ่งเป็นหนึ่งในคณะกรรมการของกระทรวงอุตสาหกรรมนำไปพิจารณาแล้วว่าจะมีผลกระทบอย่างไร คงต้องรอผลการพิจารณาของกรมการค้าฯ

ทั้งนี้สิ่งที่เขาแจ้งมาในหนังสือคือเขามีความเป็นห่วงว่าต้นทุนการใช้ยาตัวใหม่จะแพงขึ้น ซึ่งตัวเลขเฉลี่ยนั้นเขาอ้างว่าตัวเลขเป็นแสนล้าน และเขายังห่วงว่าสินค้าทางการเกษตรบางอย่างของเขาจะมีปัญหาในการนำเข้ามาในไทย ดูเหมือนว่าเขาแสดงความเป็นห่วงประเทศเรา แต่ก็ชัดเจนว่าเขาเองก็เป็นห่วงประเทศเขา ดังนั้นตนเองยังตอบไม่ได้ว่าเรื่องนี้จะมีผลกระทบอย่างไรบ้าง แต่อย่างไรหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็ต้องพิจารณาตามขั้นตอนกฎหมายของเรา

เมื่อถามว่าการประชุมอาเซียนที่จะมีขึ้นจะนำเรื่องนี้เข้าหารือหรือไม่ นายจุรินทร์กล่าวว่า คงยังไม่มีประเด็นนี้ เพราะในส่วนอาเซียนก็จะเป็นเรื่องที่ตนรับผิดชอบ คือการค้าการลงทุนหลักๆ เมื่อถามว่าการส่งหนังสือในลักษณะนี้จะมีผลดีผลเสียอย่างไร นายจุรินทร์กล่าวว่า เป็นหนังสือแสดงความเป็นห่วงเท่านั้นเอง ซึ่งเมื่อส่งมา ตนก็ได้ส่งไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาตามขั้นตอน


 

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน