วงในรู้ว่าใครยิง! ‘บิ๊กโจ๊ก’ ลั่นถ้าจับคนร้ายไม่ได้ ผบ.ตร.ต้องออกมารับผิดชอบ เผยเป็นแผนประทุษกรรมเดียวกับยิงรถนักข่าวเมื่อ 2 ปีก่อน ยืนยันว่าตนไม่ได้สร้างภาพ หากไม่ใช่คนมีอำนาจก็ไม่มีใครกล้าทำแบบนี้

กรณีคนร้ายยิงรถยนต์ ยนต์ ยี่ห้อเล็กซัส สีขาว ทะเบียน 9 กจ351 กรุงเทพมหานคร ของ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล หรือบิ๊กโจ๊ก ที่ปรึกษาพิเศษนายกรัฐมนตรี อดีต ผบช.สตม. เหตุเกิดบริเวณหน้าร้านอาการ บนถนนสุรวงศ์ เขตบางรัก ก่อนคนร้ายจะขี่จักรยานยนต์ ฮอนด้าคลิก สีดำ หลบหนีไปโดยมุ่งหน้าแยกสามย่าน โดยมีรายงานว่า ขณะที่เกิดเหตุพล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ไม่ได้อยู่ภายในรถ ส่วนสาเหตุอยู่ระหว่างการสอบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ตามที่เสนอข่าวไปนั้น

กดติดตามไลน์ ข่าวสด official account ได้ที่นี่
เพิ่มเพื่อน

บิ๊กโจ๊ก / ความคืบหน้า เมื่อเวลา 12.30 น. วันที่ 8 ม.ค. ที่สน.บางรัก พล.ต.อ.วิระชัย ทรงเมตตา รอง ผบ.ตร. พร้อม พล.ต.ต.สุคุณ พรหมมายน รอง ผบช.น. และ พ.ต.อ.ดวงโชติ สุวรรณจรัส ผกก.สน.บางรัก สอบปากคำ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ที่ปรึกษาพิเศษนายกรัฐมนตรี อดีตผบช.สตม. เพื่อติดตามความคืบหน้าในคดีดังกล่าว ซึ่งมีสื่อมวลชนหลายสำนักมาเฝ้ารอที่ สน.ตั้งแต่เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา

พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า นำเอกสารที่เกี่ยวข้องกับโครงการไบโอเมตริกซ์มามอบให้กับพนักงานสอบสวน ยืนยันว่าตนไม่ได้สร้างภาพ สร้างสถานการณ์ เพราะไม่มีมีมูลเหตุจูงใจว่าจะทำไปเพื่ออะไร เพราะรถก็เสียหาย และตนเป็นผู้ถูกกระทำ ขณะเดียวกันเมื่อ 2 ปีก่อนมีเหตุคนร้ายยิงรถของนักข่าว และจนขณะนี้ก็ยังจับไม่ได้ ทำให้เชื่อว่าเป็นแผนประทุษกรรมเดียวกัน คนวงในก็ต้องรู้ว่าใครยิง

ส่วนประเด็นที่มองว่า เป็นเรื่องความขัดแย้งจากโครงการไบโอเมตริกซ์นั้น เมื่อครั้งที่ตนดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เซ็นหนังสือ 2 ฉบับ ถึงผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ให้ยกเลิกโครงการดังกล่าวเนื่องจากล่าช้าและส่งงานไม่ทัน อีกทั้งยังเปลี่ยนผู้บัญชาการมาถึง 2 คนก็ไม่แล้วเสร็จ และไม่มีใครดำเนินการยกเลิกโครงการดังกล่าว ถ้าตนไม่พบความผิดจริงก็ไม่เซ็นยกเลิก เพราะบริษัทคู่สัญญาจะมาฟ้องตนได้ และที่ไม่ถูกฟ้องเพราะตนทำตามหน้าที่

โดยก่อนนี้มีคนประสานมานัดพูดคุยกับผู้ใหญ่หลายท่าน หลายครั้ง แต่ตนไม่ได้ไป อีกทั้งยังมีรอง ผบช.สตม.บางราย ถูกย้ายไปทำงานในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เนื่องจากถูกกดดันให้เซ็นตั้งกรรมการตรวจสอบวินัยกับตนเอง แต่ตำรวจนายนี้ไม่ยอมเซ็น และขอทำตามระเบียบก็ถูกย้าย ยืนยันว่าทุกขั้นตอนที่ตนดำเนินการสามารถตรวจสอบได้

อดีต ผบช.สตม. กล่าวต่อว่า สำหรับบุคคลที่ต้องสงสัยนั้น ตนพอมีข้อมูลแต่ไม่ขอเปิดเผยว่าเป็นใคร หากไม่ใช่คนมีอำนาจก็ไม่มีใครกล้าทำแบบนี้ ถ้าตนเป็นผบ.ตร.และจับคนร้ายไม่ได้ก็ต้องออกมารับผิดชอบ เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่โต และที่ผ่านมาในหลายคดีก็มีตำรวจเก่งๆ ย้ายเข้ามาสังกัดในนครบาล แต่คดีของตนเข้าสู่วันที่ 3 แล้ว แต่ยังไม่มีวี่แวว จะสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนได้อย่างไร

ทั้งยังเกิดในใจกลางเมืองด้วย เมื่อตนยังเป็นตำรวจ ยังสามารถตามจับกุมคนร้ายคดีเชอรี่ฆ่าหั่นศพ ที่หลบหนีไปประเทศกัมพูชาได้ภายในเวลาไม่ถึงสัปดาห์ ส่วนทางด้าน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ไม่ได้พูดคุยอะไรกับตน ทั้งท่านก็ไม่ได้กำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติแล้ว ซึ่งเป็นเรื่องของผู้บัญชาการปัจจุบัน

พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ กล่าวอีกว่า สำหรับเหตุการณ์ที่มาเกิดในช่วงนี้ คาดว่าใกล้ถึงเวลาที่ป.ป.ช.จะเรียกสอบพยานที่เกี่ยวข้องกับโครงการไบโอเมตริกซ์ พร้อมประสานมายังตนบ้าง แต่ยังไม่ระบุวัน ซึ่งพยานปากอื่นที่ไม่ได้เซ็นต์รับ คงไม่เสียขวัญเพราะถูกย้ายหมดแล้ว ยืนยันว่าการออกมาในครั้งนี้ ไม่ได้ท้าชนใคร เพราะต้องการให้ความจริงปรากฎ เนื่องจากโครงการไบโอเมตริกซ์เป็นสมบัติชาติ และมีมูลค่าถึง 2,000 ล้านบาท

ส่วนการที่ทนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม ไปร้องเรียนกับ ป.ป.ช.นั้น ก็เป็นช่วงหลังจากตนเซ็นหนังสือเอง และไม่ได้บอกใคร ก็ถือว่าทนายตั้มทำหน้าที่ในภาคประชาชน อาจมีคนอาจพอใจหรือไม่ก็ได้ แต่ตนก็ต้องยึดผลประโยชน์ส่วนรวมของประเทศชาติเป็นหลัก

“ยืนยันว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับการชิงตำแหน่ง หรือกลับไปดำรงตำแหน่งกับตำรวจด้วยวิธีการแบบนี้ แม้จะอยากกลับ เพราะผมเป็นตำรวจอาชีพ กลับไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ขอทำหน้าที่ข้าราชการให้ดีที่สุด เพราะหลังจากโดนย้ายออกก็เก็บตัวมาเป็นปี และไม่ได้ไปร้องเรียนที่ไหน รวมถึงไม่มีสื่อได้สัมภาษณ์” อดีต ผบช.สตม. กล่าว

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน