ปลัด สธ.เตือนอย่าประมาท หลังพื้นที่สีแดงเข้มลดเวลาเคอร์ฟิวเหลือ 5 ทุ่มถึงตี 3 กิจการเปิดถึง 4 ทุ่ม ยังต้องเข้มมาตรการป้องกันโควิดตลอดเวลา

เมื่อวันที่ 17 ต.ค. นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า ขณะนี้แม้จะประกาศผ่อนคลายมาตรการพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด (สีแดงเข้ม) 23 จังหวัด ในเรื่องของการห้ามออกนอกเคหสถาน จากเดิมเวลา 22.00 – 04.00 น. มาเป็นเวลา 23.00 – 03.00 น. และห้างสรรพสินค้า ร้านสะดวกซื้อ ร้านอาหาร สามารถเปิดได้ถึงเวลา 22.00 น. เริ่มตั้งแต่วันที่ 16 ต.ค.ที่ผ่านมา ทำให้ประชาชนกลับเข้าสู่ชีวิตตามปกติมากขึ้น

แต่ย้ำว่าต้องเป็นการใช้ชีวิตปกติแบบนิวนอร์มัล คือเข้มมาตรการป้องกันตนเองสูงสุดตลอดเวลา (Universal Prevention) โดยคิดว่าผู้คนรอบข้างรวมถึงตัวเราเองอาจเป็นผู้ติดเชื้อ ต้องใช้การป้องกันทุกวิถีทางเพื่อลดความเสี่ยงในการรับหรือแพร่เชื้อ

ขณะที่สถานประกอบการต่างๆ ขอให้ใช้มาตรการ COVID Free Setting โดยมีการทำความสะอาด จัดระบบระบายอากาศ เว้นระยะห่าง พนักงานเข้ารับวัคซีนครบโดส และตรวจ ATK ทุก 7 วัน ส่วนผู้รับบริการมีเอกสารรับรองการฉีดวัคซีนหรือผลตรวจ ATK ซึ่งจะเป็นแนวทางในการอยู่ร่วมกับโรคโควิด 19 อย่างปลอดภัย

“ขณะนี้มีการผ่อนคลายมากขึ้น กิจการต่างๆ ทยอยกลับมาเปิดได้ภายในระยะเวลาที่กำหนด อาจทำให้ประชาชนเริ่มวางใจ กลับมาใช้ชีวิตตามปกติ มีการรวมกลุ่มทำกิจกรรม ซึ่งเป็นความเสี่ยงทำให้เกิดการติดเชื้อได้ การจะลดจำนวนผู้ติดเชื้อลง ทุกคนต้องร่วมมือกันทำทุกมาตรการอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะการใส่หน้ากาก เว้นระยะห่าง ล้างมือ ใช้ชุดตรวจ ATK คัดกรองความเสี่ยง เพื่อไม่ให้เกิดการติดเชื้อจำนวนมากและต้องปิดกิจการอีก ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อทุกคน” นพ.เกียรติภูมิ กล่าว

สำหรับสถานการณ์โรคโควิด 19 ของประเทศไทยวันนี้มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 10,863 ราย รักษาหาย 10,383 ราย เสียชีวิต 68 ราย อยู่ระหว่างการรักษา 107,790 ราย ภาพรวมการติดเชื้อยังทรงตัว ต่างจังหวัดมีแนวโน้มการติดเชื้อสูงขึ้น ส่วน กทม.และปริมณฑล แนวโน้มการติดเชื้อลดลง ซึ่งปัจจัยสำคัญที่จะช่วยลดการป่วยและเสียชีวิตลงได้คือการฉีดวัคซีนให้ครอบคลุม

ขณะนี้เร่งจัดสรรวัคซีนไปจังหวัดต่างๆ เพื่อเร่งรัดการฉีดให้ได้ตามเป้าหมาย 50% ของประชากร ภายในสิ้น ต.ค.นี้ เพื่อเตรียมรองรับการเปิดเมือง โดยเฉพาะจังหวัดนำร่องท่องเที่ยวในวันที่ 1 พ.ย. 2564 โดยวันที่ 16 ต.ค. ฉีดวัคซีนได้เพิ่มขึ้น 1,063,719 โดส สะสม 65,202,741 โดส แบ่งเป็นเข็มแรก 37,446,713 ราย คิดเป็น 52% ของประชากร เข็ม 2 จำนวน 25,825,201 ราย คิดเป็น 35.9% ของประชากร และเข็มที่ 3 จำนวน 1,930,827 ราย คิดเป็น 2.7% ของประชากร

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน