ราชทัณฑ์ แจงไทม์ไลน์ ‘บุ้ง’ เสียชีวิต ผอ.รพ.สับสน อ้างดูวงจรปิดไม่ครบ ได้รับรายงานไม่ตรงกัน ลั่นไม่มีหมอเทวดาที่ไหนรักษาผู้ต้องขัง ที่มีอุดมการณ์อดอาหารได้
เมื่อวันที่ 15 พ.ค.2567 ที่ กรมราชทัณฑ์ จ.นนทบุรี นพ.สมภพ สังคุตแก้ว ผู้ตรวจราชการกรมราชทัณฑ์, นางอาจารี ศรีสุนาครัว ผอ.ทัณฑสถานหญิงกลาง และนพ.พงศ์ภัค อารียาภินันท์ ผอ.ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ ร่วมแถลงข่าวกรณี น.ส.เนติพร หรือ บุ้ง ทะลุวัง นักกิจกรรมทางการเมือง เสียชีวิตวานนี้ (14 พ.ค.) ที่โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ ขณะอยู่ภายใต้การควบคุมของกรมราชทัณฑ์
นพ.สมภพ กล่าวว่า จากกรณีเสียชีวิตดังกล่าวรัฐบาลต้องขอแสดงความเสียใจสุดซึ้งไปยังผู้เกี่ยวข้อง พร้อมชี้แจงว่า กรมราชทัณฑ์รับตัวน.ส.เนติพร มาควบคุมไว้ที่ทัณฑสถานหญิงกลางเมื่อวันที่ 26 ม.ค.2567 ขณะนั้นน.ส.เนติพร อดอาหารอยู่แล้ว ซึ่งทัณฑสถานหญิงกลางเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด เนื่องจากพบว่ามีอาการอ่อนเพลียจากภาวะอดอาหาร จึงส่งตัวไปรักษาที่โรงพยาบาลทัณฑสถานหญิงกลาง
จากนั้นวันที่ 29 ก.พ.- 8 มี.ค. ส่งตัวเข้ารับการรักษาที่ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์จากอาการอ่อนเพลีย จากนั้นวันที่ 8 มี.ค.-4 เม.ย. ย้ายตัวน.ส.เนติพร ไปรักษาโรงพยาบาลธรรมศาสตร์ฯ เป็นเวลา 27 วัน และมีรายงานว่าปฏิเสธการรับสารอาหาร ยาบำรุงเลือดต่างๆ ด้วยเช่นกัน และยังอยู่ในภาวะทั่วไปที่สามารถรับประทานอาหารเองได้ จึงมองว่าไม่น่าเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้น
กระทั่งวันที่ 4 เม.ย. แพทย์โรงพยาบาลธรรมศาสตร์ มีหนังสือส่งตัวน.ส.เนติพร กลับมารักษาตัวที่ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ เนื่องจากเห็นว่าสามารถรักษาต่อได้
โดยหลังจากน.ส.เนติพร กลับมาจากโรงพยาบาลธรรมศาสตร์แล้ว สามารถรับประทานอาหารได้บ้างตามลำดับ ทางโรงพยาบาลราชทัณฑ์จัดให้พักในห้องผู้ป่วยรวมที่มีน.ส.ทานตะวัน ตัวตุลานนท์ เพื่อนสนิทพักอยู่ด้วย ยืนยันว่าแพทย์และพยาบาลเฝ้าตรวจรักษาอาการอยู่ตลอดเวลา
ขณะนั้นพบว่า น.ส.เนติพร รู้สึกตัวดี มีอาการภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ กระทั่งวันเกิดเหตุ 14 พ.ค. เวลาประมาณ 06.00 น. น.ส.เนติพร เกิดอาการวูบและหมดสติ ขณะกำลังพูดคุยกับน.ส.ทานตะวัน เจ้าหน้าที่จึงให้การช่วยเหลือและกระตุ้นหัวใจทันที พร้อมประสานส่งตัวไปที่โรงพยาบาลธรรมศาสตร์ฯ จนกระทั่งมีข่าวว่าเสียชีวิตในเวลาต่อมา
ยืนยันว่ากระทรวงยุติธรรมโดยกรมราชทัณฑ์ ให้ความสำคัญตามหลักสิทธิมนุษยชน สิทธิขั้นพื้นฐานและหลักนิติธรรม เฝ้าระวังและดูแลรักษาอาการน.ส.เนติพรอย่างใกล้ชิด และเพื่อความโปร่งใสกระทรวงยุติธรรมตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง และสาเหตุการเสียชีวิตของน.ส.เนติพร ส่วนสาเหตุการเสียชีวิตจะชี้แจงให้ทราบเมื่อผลชันสูตรออกมาชัดเจน
สำหรับอาการน.ส.เนติพรนั้น นพ.สมภพ กล่าวว่า ก่อนเกิดภาวะช็อก น.ส.เนติพรมีอาการปกติทุกอย่าง และขณะที่รักษาตัวอยู่โรงพยาบาลธรรมศาสตร์ฯ ก็มีรายงานว่าปฏิเสธการรับสารอาหาร ยาบำรุงเลือดต่างๆ ด้วยเช่นกัน และยังอยู่ในภาวะทั่วไปที่สามารถรับประทานอาหารเองได้ จึงมองว่าไม่น่าเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้น และในเช้าวันเกิดเหตุยังสามารถพูดคุยกับน.ส.ทานตะวันได้ตามปกติ กล่าวเพียงว่า มีอาการปวดหัว
สำหรับแนวทางปฏิบัติของกรมราชทัณฑ์ต่อผู้ต้องขังที่มีเจตนารมณ์อดอาหารนั้น นพ.สมภพ กล่าวว่า ตั้งแต่เริ่มต้นจะส่งนักจิตวิทยาเข้าไปพูดคุยและโน้มน้าว แต่หากผู้ต้องขังยังยืนยันเจตนาเดิม กรมราชทัณฑ์ก็จะใช้แนวทางปฏิบัติทางการแพทย์ ทั้งด้านจิตวิทยา นักสังคมสงเคราะห์ เข้าประเมินร่างกาย หากพบว่าเกิดภาวะที่มองว่าน่าจะเกิดอันตราย เกินศักยภาพของสถานพยาบาลเรือนจำก็จะส่งต่อไปยังโรงพยาบาลแม่ข่าย
ด้านนพ.พงศ์ภัค กล่าวว่า ตั้งแต่หลังวันที่ 4 เม.ย.ที่กลับจากโรงพยาบาลธรรมศาสตร์ น.ส.เนติพรยังคงมีอาการอ่อนเพลีย สามารถรับประทานอาหารได้บ้างตามลำดับ เช่น ข้าวต้ม ไข่เจียว โดยจัดหาอาหารให้ทั้ง 3 มื้อ ยืนยันที่ผ่านมาแนะนำกับน.ส.เนติพรตลอดว่า การอดอาหารอย่างต่อเนื่องอาจทำให้เกิดอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ ซึ่งน.ส.เนติพรรับทราบอย่างต่อเนื่อง แต่ยังยืนยันในแนวทางเดิม
โดยมีเจตจำนงที่จะปฏิเสธรับเกลือแร่ หรือวิตามิน ยืนยันว่าให้การรักษาและดูแลตามมาตรฐาน ก่อนเกิดเหตุไม่มีภาวะวิกฤต อย่างไรก็ตามในการนำตัวน.ส.เนติพรไปยังโรงพยาบาลธรรมศาสตร์ฯ นั้น ไม่ได้ใช้เครื่อง AED หรือเครื่องกระตุ้นหัวใจ เพราะไม่มีข้อบ่งชี้
ทั้งนี้ เมื่อผู้สื่อข่าวสอบถามข้อมูลลำดับเหตุการณ์ขณะเกิดเหตุ รวมถึงขั้นตอนการช่วยเหลือกู้ชีพน.ส.เนติพรทั้งหมด ผู้ตรวจราชการกรมราชทัณฑ์และผอ.ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ ยังคงมีความสับสนและให้ข้อมูลไม่ตรงกัน เช่น ช่วงแรกผู้ตรวจฯ กล่าวว่า ไม่พบสัญญาณชีพของน.ส.เนติพร จึงฉีดยากระตุ้นหัวใจ
แต่ภายหลังแพทย์ให้ข้อมูลว่า มีสัญญาณชีพอ่อน ผู้ต้องขังที่ได้รับการฝึกให้เป็นผู้ช่วยพยาบาลจึงได้ CPR ที่เตียงนอน จนมีสัญญาณชีพกลับมา ก่อนเจ้าหน้าที่จะพยุงน.ส.เนติพร ลงไปห้องรักษาพยาบาล
รวมถึงข้อมูลก่อน น.ส.เนติพรจะหมดสติไป ที่ตอนแรกให้ข้อมูลว่าน.สเนติพร ลุกไปเข้าห้องน้ำและพูดคุยกับน.ส.ทานตะวันว่า ปวดท้องหรือไม่ และกลับมานอนข้างกัน ภายหลังให้ข้อมูลว่าน.ส.ทานตะวันเป็นผู้ลุกไปเข้าห้องน้ำ และน.ส.เนติพรนอนอยู่ที่เตียง
ก่อนที่สุดท้ายทางผอ.โรงพยาบาลได้แก้ไขว่า ยังไม่แน่ใจว่าใครเป็นคนลุกไปเข้าห้องน้ำกันแน่ แต่หลังกลับจากเข้าห้องน้ำแล้ว น.ส.เนติพรและน.ส.ทานตะวันพูดคุยกัน จากนั้นเจ้าหน้าที่เข้ามาวัดความดัน หลังจากนั้น 1-2 นาที น.ส.เนติพร กระตุก 1-2 ครั้ง และเจ้าหน้าที่ตรวจก็ไม่พบสัญญาณชีพ เป็นต้น
นอกจากนี้ยังให้ข้อมูลสับสนว่า น.ส.ทานตะวันเห็นเหตุการณ์ขณะน.ส.เนติพร กระตุกหรือไม่ โดยตอนแรกให้ข้อมูลว่าเกิดเหตุขณะน.ส.ทานตะวันหลับอยู่ แต่เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าเป็นไปได้อย่างไรเมื่อมีคนหนึ่งไปเข้าห้องน้ำ ทางนพ.พงศ์ภัค จึงให้ข้อมูลใหม่ว่าน.ส.ทานตะวัน ก็วัดความดันอยู่เช่นกันขณะที่น.ส.เนติพร เกิดอาการกระตุก
ซึ่ง นพ.พงศ์ภัค อ้างว่าดูเพียงกล้องบันทึกภาพขณะเกิดเหตุการณ์เท่านั้น แต่ช่วงอื่นๆ นั้น ไม่ทราบ และไม่ได้ดูกล้องวงจรปิด จึงไม่สามารถให้รายละเอียดที่ชัดเจนได้
ทำให้นพ.สมภพ กล่าวตำหนิ นพ.พงศ์ภัคว่า ยังสับสนในคำถามและไม่เข้าใจ และไม่สามารถลงลึกในรายละเอียดได้ แต่ตนยืนยันว่าดำเนินการตามมาตรฐานการกู้ชีพทั้งหมด เป็นไปตามจรรยาบรรณของแพทย์ พร้อมอ้างว่าเป็นข้อมูลที่ลึกเกินไป แต่ยืนยันว่าไม่ใช่ความพยายามบิดเบือนข้อเท็จจริง
ด้านอาการของน.ส.ทานตะวัน และนายณัฐนนท์ ไชยมหาบุตร หรือ แฟรงค์ ที่ยังอยู่ในโรงพยาบาลนั้น อาการแข็งแรงดี และกลับมารับประทานอาหารตามปกติแล้ว นายณัฐนนท์ สามารถทานอาหารได้มากขึ้นและเดินได้ ส่วนน.ส.ทานตะวัน ยังมีภาวะเครียดและอาการซึมเศร้า กลับมารับประทานอาหารได้น้อย ซึ่งทางโรงพยาบาลราชทัณฑ์ส่งจิตแพทย์เข้าไปดูแลอย่างใกล้ชิดแล้ว
เมื่อผู้สื่อข่าวสอบถามว่ากรมราชทัณฑ์จะมีมาตรการป้องกันเหตุซ้ำรอยหรือไม่ นพ.สมภพ กล่าวว่า ราชทัณฑ์ดำเนินการตามมาตรฐานอยู่แล้ว แต่หากเกิดเหตุจนถึงแก่ชีวิตนั้น ไม่มีแพทย์ที่ไหนจะยื้อชีวิตได้ แม้กระทั่งน.ส.เนติพรเองก็ทำนิติกรรมไว้แล้วล่วงหน้า เนื่องจากมีความมุ่งมั่นในอุดมการณ์และเราไม่สามารถแตะต้องอะไรได้ เราช่วยชีวิตได้ แต่เหตุการณ์หลังจากนั้น ก็เป็นที่เข้าใจกันอยู่
ส่วนการป้องกันนั้น พยายามส่งนักจิตวิทยาเข้าไปโน้มน้าวแล้วอย่างเต็มที่ แต่หากเขายืนยันจนกระทั่งเกิดเหตุการณ์ร่างกายทนไม่ไหวแล้ว ราชทัณฑ์ทำเต็มที่คือส่งให้แพทย์รักษาเท่านั้น ส่วนการจะให้เปลี่ยนใจนั้น ทำไม่ได้ เป็นเรื่องยาก หากร่างกายมาถึงจุดที่ไม่สามารถดูแลได้แล้ว ก็ยาก ต่อให้เป็นแพทย์เทวดา ก็ไม่สามารถช่วยอะไรได้