ดิจิทัลวอลเล็ต สั่งตัดทิ้ง 2 กลุ่ม ทั้งร้าน-บุคคล อดเข้าร่วมโครงการรับ 1 หมื่น 24 ก.ค.ประกาศไทม์ไลน์ วันเปิด-ปิดลงทะเบียนรับเงิน 1 หมื่นดิจิทัล
เมื่อวันที่ 15 ก.ค.67 ที่ทำเนียบรัฐบาล นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง แถลงหลังการประชุมคณะกรรมการนโยบายเติมเงิน 10,000 บาทผ่านดิจิทัลวอลเล็ต ว่า ที่ประชุมมีมติเห็นชอบแหล่งที่มาของเงินใหม่สำหรับโครงการดิจิทัลวอลเล็ต สาเหตุสำคัญที่ปรับเปลี่ยนคือ เราได้ดำเนินการตามข้อห่วงใยของหน่วยงานตรวจสอบ ในเรื่องของแหล่งที่มาของเงิน ของกรอบวงเงินต่างๆ ซึ่งเราไม่ได้ลดขนาดโครงการ ยังอยู่ที่ 50 ล้านคนเช่นเดิม แต่เมื่อไปดูแล้วโครงการในอดีตของรัฐ ไม่มีโครงการไหนมีผู้ลงทะเบียนเกินกว่า 90 % การตั้งงบประมาณที่เพียงพอเหมาะจึงเป็นแนวที่หน่วยงานตรวจสอบเคยให้ไว้
ดังนั้น จึงตั้งงบประมาณวางไว้ว่า 45 ล้านคนคือ 450,000 ล้านบาท นั่นคือการเตรียมเงินไว้รองรับ แต่ขนาดโครงการยังเป็น 50 ล้านอยู่ หากมีคนลงทะเบียนน้อยกว่าหรือมากกว่า เราจะใช้กลไกในการบริหารงบประมาณ เพื่อให้มีเงินทุกบาททุกสตางค์เพียงพอสำหรับการจัดสรรเข้าไปในโครงการเติมเงิน 1 หมื่นบาทดิจิทัลวอลเล็ตได้
นายจุลพันธ์ กล่าวว่า เมื่อดูในเรื่องตัวเงินที่มีความจำเป็นต้องเตรียมน้อยลง ประกอบกับมีข้อห่วงใยในเรื่องการใช้มาตรา 28 และประกอบกับหลังจากเราบริหารจัดการมาตอนนี้ใกล้สิ้นปีงบประมาณ เราเริ่มเห็นความชัดเจนของตัวเงิน ทางหน่วยงานคือกระทรวงการคลังร่วมกับสำนักงบประมาณหารือกัน นำเสนอในเรื่องตัวเลขโครงสร้างของกรอบแหล่งเงินใหม่ ซึ่งวันนี้ที่ประชุมเห็นชอบคือ ไม่มีมาตรา 28 ประกอบไปด้วยงบประมาณปี 67 และ 68 ซึ่งเพียงพอและสามารถดำเนินการได้ในกรอบงบประมาณ
เมื่อถามว่ามีตัวเลขที่ชัดสำหรับงบประมาณปี 67 และ 68 ที่จะใช้หรือไม่ นายจุลพันธ์ กล่าวว่า ปี 67 เป็นงบเพิ่มเติม 122,000 ล้านบาท ซึ่งจะเข้าสภาผู้แทนราษฎรวันที่ 17 ก.ค. บวกกับงบประมาณบริหารจัดการทางการคลังและการบริหารงบประมาณอีก 43,000 ล้านบาท แน่นอนว่าส่วนหนึ่งอาจเป็นงบกลาง อันนี้เป็นการบริหารจัดการที่สามารถทำได้ แต่ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงเท่านั้น และงบของปี 68 อีก 152,000 ล้านบาท และงบในการบริหารจัดการทางการคลังและการบริหารงบประมาณของปี 68 อีก 132,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นตัวเลขเดิม
เมื่อถามว่าในส่วนงบประมาณในการบริหารจัดการทางการคลังและการบริหารงบประมาณของปี 68 จำนวน 132,000 ล้านบาท จำเป็นต้องตั้งพ.ร.บ.งบประมาณกลางปี 68 เพิ่มอีกหรือไม่ นายจุลพันธ์กล่าวว่า มันคือการบริหารจัดการงบประมาณซึ่งสามารถทำได้ แต่ยังไม่อยู่ในแผนการ ก็สามารถบริหารจัดการได้ในกรอบที่เราได้รับมาอยู่ งบประมาณที่ผูกพันไม่ทัน งบประมาณที่ใช้ยังไม่สำเร็จ รวมถึงกลไกการบริหารจัดการงบประมาณมีอยู่ค่อนข้างหลากหลาย สามารถดำเนินการได้ภายใต้กรอบนั้น
เมื่อถามว่าจะขยับไทม์ไลน์หรือไม่ นายจุลพันธ์กล่าวว่า ไทม์ไลน์การเปิดและปิดลงทะเบียนจะแจ้งอีกทีในวันที่ 24 ก.ค. วันนี้คณะที่ประชุมมีมติมอบหมายให้คณะกรรมการกำกับไปกำหนดกรอบในรายละเอียด วันเริ่มและวันปิดมาอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งวันนี้เราพอเห็นภาพแล้ว การทำงานในส่วนของด้านตัวระบบเองมีความคืบหน้าที่น่าพอใจ และเราเห็นถึงวันที่พร้อมดำเนินการในขั้นตอนต่างๆ ซึ่งยังอยู่ในกรอบเดิมไตรมาส 4 แน่นอน
เมื่อถามว่าธนาคารแห่งประเทศไทยมีความเห็นอย่างไรเรื่องความพร้อมของระบบ นายจุลพันธ์กล่าวว่า ธนาคารแห่งประเทศไทยมีความเห็นว่าระบบต้องมีความปลอดภัยและมั่นคง ซึ่งขั้นตอนต่อมาก็มีหนวยงานที่เกี่ยวข้องในการพัฒนาระบบนำเสนอ ก็ไม่ได้มีคอมเมนต์เพิ่มเติม แต่อย่างไรก็ตาม มีช่วงหนึ่งที่จะต้องดึงธนาคารแห่งประเทศไทยเข้ามาร่วมดูการปฏิบัติตามมาตรฐานความปลอดภัยของระบบ กระบวนการกลไกที่เราทำมาก็เป็นไปตามกรอบความมั่นคงปลอดภัยอย่างสูงสุด
เมื่อถามว่ามีการจ้างบุคคลภายนอก (outsorce) สำหรับทำแพลตฟอร์มกลางแล้วหรือไม่ นายจุลพันธ์กล่าวว่า อันนั้นเป็นเรื่องของสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล ซึ่งดำเนินการมานานแล้วไม่ใช่เพิ่งเริ่ม เขาเริ่มในเรื่อง architecture design เริ่มในเรื่องการทำข้อกำหนดต่างๆ มานานมากแล้ว คงมีการส่งมอบให้กับ outsource ต่อไป
เมื่อถามว่าจากที่ได้เคยกล่าวไว้เมื่อเข้ารับตำแหน่งใหม่ๆ ว่าโครงการนี้จะเป็นเงินก้อนใหม่ที่ทำให้เกิดพายุหมุนทางเศรษฐกิจ เมื่อเป็นการใช้งบประมาณปี 68 จะทำให้เกิดพายุหมุนทางเศรษฐกิจได้อย่างไร นายจุลพันธ์กล่าวว่า อันนี้เป็นเรื่องที่เรารับทราบ แต่กระบวนการในการเดินหน้าทั้งหมดต้องเป็นไปตามกรอบกฎหมาย สองคือ งบประมาณที่เราทำอย่างเช่นปี 67 เอง งบเพิ่มเติมก็คือการทำกรอบการขาดดุลเพิ่ม ก็เป็นเงินใหม่เช่นเดียวกัน
ในส่วนของงบประมาณในการบริหารจัดการทางการคลังและการบริหารงบประมาณอีก 43,000 ล้านบาท ก็เป็นส่วนของงบประมาณที่ได้มีภารกิจลงในปีงบประมาณปัจจุบัน ก็อาจจะหมุนไปทำภารกิจอื่น แต่เราก็หมุนมาทำโครงการนี้ให้ประชาชนเป็นผู้ใช้ ซึ่งต้องยอมรับว่า กระบวนการการใช้เงินของประชาชนมีประสิทธิภาพการหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจมากกว่า ไม่ล่าช้าและสามารถใช้ได้หลายรอบ ยังยืนว่าพายุหมุนทางเศรษฐกิจจะยังเกิดขึ้น
เมื่อถามว่าเงื่อนไขโครงการในเรื่องร้านค้าและสินค้า ได้รับความเห็นชอบในการประชุมวันนี้หรือไม่ นายจุลพันธ์กล่าวว่า เห็นชอบตามนั้นเรื่องของ negative list แต่มีข้อสังเกตในที่ประชุม ซึ่งเป็นไปตามที่มีการนำเสนอนั่นคือ เปิดความยืดหยุ่นให้กระทรวงพาณิชย์เป็นผู้กำหนด negative list ไม่ว่าจะเพิ่มเติม หรือปรับลดตามความจำเป็นต่อไป
แต่ต้องมาพูดคุยกันในคณะอนุกรรมการอีกที ไม่ได้มีอำนาจในการดึงรายชื่อเข้าออกได้เลย แต่เปิดโอกาสให้มีนำเสนอเพิ่มเติม เพราะอย่างวันนี้มียกตัวอย่างบางอย่างที่เรายังไม่ได้คุยกัน เช่น อาวุธปืน เป็นสินค้าอีกหนึ่งกลุ่มที่ควรจะพิจารณา ซึ่งเราก็รับข้อเสนอ และให้กระทรวงพาณิชย์ไปดู เพื่อนำเสนอในคณะกรรมการต่อไป
ส่วนที่มีการเสนอในที่ประชุมเรื่องของผู้เข้าร่วมโครงการ มีกลุ่มถูกตัดออกเพิ่มเติมคือ กลุ่มผู้เคยกระทำผิดเงื่อนไขโครงการของรัฐ และมีเรื่องการฟ้องร้องเรียกเงินคืนในอดีต ไม่ว่าจะร้านค้าหรือบุคคลก็ตาม มีความจำเป็นต้องตัดออก เพราะเรามองว่าถ้าหากให้สิทธิไป อาจจะนำกลับไปทำผิดอีก
เมื่อถามว่ามีการวางไทม์ไลน์หลังจากวันนี้อย่างไร นายจุลพันธ์กล่าวว่า เข้าใจว่าจะนำเสนอต่อครม.สัปดาห์หน้าวันที่ 23 ก.ค. และวันที่ 24 ก.ค.จะแถลงใหญ่ที่ทำเนียบรัฐบาล ส่วนรายละเอียดการเปิดลงทะเบียนของร้านค้าให้รอวันที่ 24 ก.ค.เช่นกัน พร้อมกล่าวติดตลกว่า เดี๋ยววันนั้นไม่มีอะไรจะคุย
เมื่อถามว่าบริษัท outsource ที่ทำแอพพลิเคชันเป็นของธนาคารกรุงไทยหรือไม่ นายจุลพันธ์กล่าวว่า ยังไม่ทราบ อย่าไปเขียนกันเอง เห็นมีการเขียนกันหลายรอบแล้ว ไม่รู้ไปเขียนมาจากไหน ส่วนแอพที่ปล่อยมาก่อนหน้านี้ คือแอพทางรัฐ ซึ่งเป็นหน้าต่างในการเข้าถึง ไม่ใช่ระบบ settlement แต่เป็นระบบในการยืนยันตัวตน kyc kym และระบบในการเช็กสิทธิ