ท้าพิสูจน์‘นิสสัน ลีฟ’ ตะลุยขึ้น‘ดอยอินทนนท์’

ท้าพิสูจน์‘นิสสัน ลีฟ’ ตะลุยขึ้น‘ดอยอินทนนท์’ – ปฐมเหตุที่ทีมงานนิสสัน นำโดย ‘คุณโป่ง’ ชยภัค ลายสุวรรณ ผู้จัดการทั่วไปแผนกสื่อสารผลิตภัณฑ์ นิสสัน มอเตอร์ ประเทศไทย จัดทริปทดสอบรถยนต์นิสสัน ‘ลีฟ’ รถยนต์ไฟฟ้า 100% ที่ขายดีที่สุดในโลก บนเส้นทางขึ้นดอยอินทนนท์ จ.เชียงใหม่

เกิดจากการที่เข้าไปอ่านคอมเมนต์ในคลับของกลุ่มผู้ที่สนใจรถยนต์ไฟฟ้า ที่ส่วนใหญ่มีความเป็นกังวัลเรื่องกำลังของตัวรถว่าหากต้องไต่ทางชัน แล้วอาการจะเป็นอย่างไร

แนะนำตัวรถกันพอหอมปากหอมคอ เพราะนักข่าวไทยส่วนใหญ่ เคยสัมผัสและทดสอบเจ้านิสสันลีฟกันไปแล้ว ในเส้นทางรอบๆ กรุงเทพฯ ที่เน้นให้เห็นการใช้งานในเมือง เมื่อหลายเดือนก่อน

ก่อนออกเดินทางพอมีเวลา เดินดูรอบๆคันเสียหน่อย ดีไซน์เน้นเติมเต็มอารมณ์สปอร์ต ในแบบฉบับรถแฮตช์แบ๊ก 5 ประตู ตัวรถสีขาว หลังคาสีดำ เหนือกระจังหน้าซ่อนจุดชาร์จไฟฟ้าไว้อย่างเนียนตา

กระจังหน้าแบบ V-Motion เอกลักษณ์ของนิสสัน ไฟทรงบูมเมอแรง เส้นสายด้านข้างไหลลื่นต่อเนื่องไปจนถึงด้านท้าย ขณะที่ไฟท้ายดีไซน์ใหม่ พร้อมไฟเบรกดวงที่ 3 มองเห็นเด่นชัด

ภายในโทนสีดำเดินด้ายสีฟ้า มองบางมุมก็เหมือนจะดูทันสมัย แต่หลายมุมก็ออกจะเรโทรย้อนยุคอยู่หน่อยๆ

ที่ทันสมัยยกให้หัวเกียร์ที่มีขนาดเล็กกะทัดรัด พวงมาลัย 3 ก้าน แบบ D-Shape พร้อมมัลติฟังก์ชัน หน้าจอข้อมูลและความบันเทิงระบบสัมผัสขนาด 7 นิ้ว กับระบบเครื่องปรับอากาศดูเรียบง่าย จนแทบลืมไปว่ากำลังนั่งอยู่ในรถเทคโนโลยีแห่งอนาคต

จุดสตาร์ตที่อ.หางดง มุ่งหน้าไปที่จุดสูงสุดของเมืองไทยดอย อินทนนท์ ระยะทางรวมไปกลับประมาณ 200 ก.ม. ทีมงานมี กิมมิกเล็กๆ ให้ผู้ทดสอบทุกคนต้องถอดสายชาร์จเพื่อเก็บกลับไปไว้ที่วอลล์ชาร์จ ประมาณว่าให้เห็นว่าทำได้อย่างง่ายดาย

ขึ้นนั่งตำแหน่งคนขับกดปุ่มสตาร์ต เสียงมอเตอร์เงียบกริบ ชนิดต้องเหลือบดูหน้าปัดว่าระบบพร้อมทำงานหรือยัง เอื้อมมือไปที่โหมดการขับขี่ ที่เข้ามาทำหน้าที่แทนเกียร์ ด้วยการดึงเข้าหาตัวแล้วดึงลง เพื่อให้เป็นตำแหน่งเดินหน้า ตำแหน่ง D

ถ้าดึงลงอีกครั้งจะกลายเป็นตำแหน่ง B โหมดที่หน่วงตัวรถ และยังนำพลังงานจากการถอนเท้า หรือเบรก ชาร์จกลับเข้าไปที่แบตเตอรี่ได้เร็วยิ่งขึ้นอีกด้วย หากจะถอยหลังดึงเข้าหาตัวแล้วดันขึ้นตำแหน่ง R

ช่วงแรกการจราจรยังค่อนข้างหนาแน่นอยู่พอสมควร และขุดถนนเป็นระยะๆ จึงขับเรื่อยๆ ตามกันไป

ออกนอกเมืองเริ่มทำความเร็วได้ต้องเร่งแซงเพื่อนร่วมถนนอยู่บ่อยๆ จังหวะเร่งแซงซ้าย-ขวา ทำได้เนียนมือ

เพราะทั้งกำลังของมอเตอร์ที่เรียกมาใช้งานได้แบบปัจจุบันทันด่วน ด้วยเพราะไม่ต้องรอรอบ เรียกว่ากด เป็นมา เพิ่มความคล่องตัวอย่างมาก

จังหวะถนนโล่งตาไม่รอช้าเพิ่มน้ำหนักเท้าที่แป้นคันเร่ง เข็มไมล์ไต่ขึ้นต่อเนื่อง 140-150-160 ก.ม.ต่อช.ม. ไปจนสุดอยู่ที่ปริ่ม 170 ก.ม.ต่อช.ม. แทบจะในพริบตา

เริ่มเส้นทางขึ้นเขานึกว่าตัวรถจะอืดลงไปบ้าง แต่กลับไม่เป็นเช่นนั้น กดคันเร่งไปเท่าไหร่ตัวรถพุ่งทะยานไปเท่านั้น ระหว่างทางชันมีโค้งซ้าย-ขวา อยู่เนืองๆ ถอนคันเร่งนิดหนึ่งก่อนเข้าโค้ง จากนั้นส่งกำลังหลังออกจากเข้าโค้งแล้ว ทำได้กระชับฉับไว ช่วงล่างไม่มีอาการสะท้าน หรือหน้าดื้อ ท้ายดิ้นเลยแม้แต่น้อย

นอกจากจะพิสูจน์ว่ากำลังของรถไฟฟ้า 100% เพียงพอกับการขับขึ้นเขาขึ้นดอยแล้ว อีกอย่างหนึ่งที่ทีมงานนิสสันต้องการให้รับทราบคือ การขับเพื่อถนอมพลังงานไฟฟ้าไว้ให้ได้มากที่สุดนั้นทำอย่างไร

ขาลงจากดอยอินทนนท์ให้ใส่โหมด B เพราะมีจังหวะถอนเท้าแตะเบรกอยู่บ่อยๆ เนื่องจากเป็นทางลงลาดชัน ทำให้กำลังถูกส่งไปเก็บเป็นพลังงานไฟฟ้าไว้ในแบตเตอรี่

ขึ้นถึงจุดสูงสุดของดอยอินทนนท์แล้ว เช็กดูเห็นว่าแบตเตอรี่เหลืออยู่ 18% และวิ่งได้อีกระยะทาง 30 ก.ม. ดังนั้นต้องพยายามเรียกพลังงานกลับมาให้ได้มากที่สุด เส้นทางจากจุดนี้ไปถึงตีนดอยประมาณ 35 ก.ม. ทีมงานนิสสันมั่นใจว่าอย่างไรเสีย จะได้กำลังไฟฟ้ากลับมาสะสมในแบตเตอรี่ จนสามารถขับถึงจุดหมายปลายทางระยะทางรวม 100 ก.ม. ได้อย่างแน่นอน

กำลังไฟถูกชาร์จกลับเข้าไปไว้ในแบตเตอรี่อย่างต่อเนื่อง ส่วนจุดหมายห่างออกไปประมาณ 60 ก.ม. หน้าจอแจ้งว่าวิ่งได้อีก 85 ก.ม. แต่ไม่ชะล่าใจ ไปแบบเรื่อยๆ เพื่อความสบายใจ

ถึงจุดหมายระยะทางรวมที่ขับ 205.9 ก.ม. แบตเตอรี่เหลือ 4%

ก่อนออกเดินทางชาร์จไฟเต็ม 100% ระยะแจ้งว่าขับได้ 297 ก.ม. แต่ก็ว่าไม่ได้เพราะการทดสอบครั้งนี้ค่อนข้างหฤโหดพอสมควร กับรถยนต์ไฟฟ้า 100% ทั้งทำความเร็วสูงต่อเนื่อง ขึ้นทางสูงชันระยะทางร่วม 50 ก.ม. จะสิ้นเปลืองพลังงานมากกว่าปกติก็ถือว่า ไม่แปลก

ที่แน่ๆ การทดสอบครั้งนี้ถือเป็นอีกหนึ่งบทพิสูจน์ นิสสัน ‘ลีฟ’รถยนต์ไฟฟ้า 100% ขึ้นทางชันได้สบาย และขับสนุก อย่างยิ่ง

กิตติพงศ์ ศรีเจริญ

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน