ตำรวจท่องเที่ยว แถลงผลการจับกุม ผู้ต้องหาคดีสำคัญ 3 คดี พบผู้ต้องหาเป็นผู้หญิง อายุ 44 ปี และ 52 ปี ก่อเหตุฉ้อโกง มีผู้เสียหายหลายราย

เกาะติดข่าว กดติดตาม ข่าวสด
เพิ่มเพื่อน

เมื่อวันที่ 2 เม.ย. 2564 ที่กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. สั่งการให้พล.ต.ท.นิทัศน์ ลิ้มศิริพันธ์ ผบช.ทท. พล.ต.ต.มานัด ศรีวงษา ผบก.ทท.1 ชุดสืบสวน กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว ร่วมกันแถลงผลการจับกุมผู้ต้องหา 3 คดีสำคัญ

คดีแรก จับกุมนางสาววรินทร อายุ 44 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลแขวงเชียงใหม่ที่ จ.69/2564 และ จ.70/2564 ลงวันที่ 1 ก.พ. 64 ในความผิดฐาน “ฉ้อโกงทรัพย์” โดยจับกุมได้เมื่อวันที่ 30 มี.ค 64 ที่คอนโดแห่งหนึ่งในแขวงทับยาว เขตลาดกระบัง กรุงเทพฯ

พล.ต.ท.นิทัศน์ กล่าวว่า ตำรวจท่องเที่ยวได้รับเรื่องร้องเรียนว่ามีการหลอกลวงนักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่น และสิงคโปร์ ในพื้นที่จ.เชียงใหม่ ให้ร่วมลงทุนในธุรกิจนำเที่ยวและให้บริการต่อวีซ่า โดยมีผู้เสียหายเป็นชาวต่างชาติกว่า 20 คน รวมมูลค่าความเสียหายไม่น้อยกว่า 30 ล้านบาท

จากการสอบสวน น.ส.วรินทร ผู้ต้องหา ได้มีการเปิดบริษัททัวร์ ประกอบธุรกิจนำเที่ยวแต่ผลการดำเนินธุรกิจไม่ประสบผลสำเร็จ จึงหันมาทำธุรกิจเกี่ยวกับการต่อวีซ่าหรือขอวีซ่า ประเภทเกษียณอายุ (Retirement) ซึ่งมีหลักเกณฑ์ว่าผู้ขออนุญาตขอวีซ่าต้องมีเงินในบัญชีจำนวน 800,000 บาท โดยใช้ชื่อบริษัทเดิม

ประกอบกับน.ส.วรินทร มีแฟนเป็นชาวญี่ปุ่น จึงมีความสามารถในการสนทนาภาษาญี่ปุ่นได้เป็นอย่างดี มีบุคลิกน่าเชื่อถือ จึงได้ชักชวนชาวญี่ปุ่นและสิงคโปร์ มาร่วมลงทุนโดยเสนอผลตอบแทน 10% ต่อเดือน จนมีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติสนใจร่วมลงทุนกว่า 20 ราย

โดยในช่วงแรกได้ให้ผลตอบแทนตามที่ได้เสนอจริง แต่ช่วงหลังผู้เสียหายไม่ได้รับผลตอบแทนตามที่ได้เสนอไป เมื่อพยายามทวงถามน.ส.วรินทร ก็ได้รับการบ่ายเบี่ยงมาโดยตลอดจนแน่ใจว่าถูกหลอกลวง จึงรวมตัวกันแจ้งความกับตำรวจ

 

คดีที่ 2 จับกุมผู้ต้องหาแอบอ้างว่าสามารถออกใบอนุญาตประกอบอาชีพมัคคุเทศก์ให้ได้ โดยไม่ต้องผ่านการดำเนินการตามขั้นตอนที่กฎหมายกำหนด ผู้ต้องหาคือน.ส.สุภาเพ็ญ อายุ 52 ปี ตามหมายจับศาลอาญา ที่ 611/2564 ลงวันที่ 29 มี.ค. 64 ในความผิดฐาน “ฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นคนอื่นและโดยทุจริตหรือโดยหลอกลวงนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่บุคคลใดบุคลคลหนึ่ง”

โดยผู้ต้องหามีพฤติกรรมแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการขอใบอนุญาตประกอบอาชีพมัคคุเทศก์ เช่นเจ้าหน้าที่กรมการท่องเที่ยว เจ้าหน้าที่ตำรวจ และอาจารย์ของมหาวิทยาลัย เพื่อให้เกิดความน่าเชื่อถือ และหลอกลวงโดยใช้วิธีการโฆษณาประกาศข้อความผ่านทางเฟซบุ๊ก และช่องทางอื่นตามเว็บไซต์ต่าง ๆ โดยอ้างว่าตนสามารถออกใบอนุญาตมัคคุเทศก์ได้

เมื่อมีผู้สนใจ ผู้ต้องหาก็จะทำการติดต่อพูดคุยรายละเอียดผ่านทางโทรศัพท์และไลน์ จนทำให้ผู้เสียหายหลงเชื่อโอนเงินให้ผู้ต้องหาหลายครั้ง รวมมูลค่าความเสียหายเป็นเงินจำนวนกว่า 300,000 บาท หลังจากผู้เสียหายโอนเงินไปแล้วปรากฏว่าผู้ต้องหาไม่สามารถออกใบอนุญาตมัคคุเทศก์ตามที่กล่าวอ้างจึงทราบว่าถูกหลอกลวงจากการตรวจสอบประวัติพบว่า นางสาวสุภาเพ็ญ เคยต้องโทษในคดีลักทรัพย์ ในพื้นที่ สน.ห้วยขวาง สน.ลาดพร้าว และสน.ทองหล่อ มาก่อนอีกด้วย​

 

คดีที่ 3 จับกุมคดี Romance Scam หรือ แสร้งรักออนไลน์ ซึ่งเป็นกรณีชาวต่างชาติปลอมเฟซบุ๊กเป็นบุคคลหน้าตาดี โดยร่วมมือกับหญิงไทยหลอกโอนเงินค่าพัสดุจากต่างประเทศ
จับกุมน.ส.วนิดา ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดบุรีรัมย์ที่ จ.67/2564 ลงวันที่ 23 มี.ค. 64 ถูกจับกุมได้ที่บ้านหลังหนึ่ง​ ถ.เทพประทาน​ ม.1​ ต.รัษฎา​ อ.เมือง​ จ.ภูเก็ต​

และน.ส.ธัญชนก ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดบุรีรัมย์ที่ จ.68/2564 ลงวันที่ 23 มี.ค. 64
จับกุมได้ที่บ้านหลังหนึ่ง ถนนรัษฎานุสรณ์​ ซอยแม่กลิ่น​ ม.3​ ต.รัษฎา​ อ.เมือง​ จ.ภูเก็ต​ โดยผู้ต้องหาทั้ง 2 ราย ถูกจับกุมในความผิดฐาน “นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ปลอม ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน” และ “ฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นบุคคลอื่น”

สืบเนื่องจากผู้ต้องหาได้ใช้เฟซบุ๊กปลอมชื่อ Amit Khan ซึ่งมีภาพโปรไฟล์เป็นชาวต่างชาติผิวขาวหน้าตาดี อาชีพนักบิน แอดมาเป็นเพื่อนกับผู้เสียหายและคุยกันเรื่อยมา ซึ่งในระหว่างคุยกันกลุ่มผู้ต้องหามีการส่งภาพถ่ายเป็นภาพเงินสด ทองคำ เครื่องประดับหรูหรา ให้ผู้เสียหายดู เพื่อให้เชื่อว่าตนเองมีทรัพย์สินจำนวนมาก

จนกระทั่งเมื่อวันที่ 22 ก.พ. 64 กลุ่มผู้ต้องหาได้โทรศัพท์มาหาผู้เสียหายเพื่อหลอกลวงว่ามีพัสดุมูลค่าสูงจัดส่งมาให้แก่ผู้เสียหาย โดยมีค่าจัดส่งเบื้องต้นจำนวน 21,000 บาท บาท นอกจากนี้กลุ่มผู้ต้องหายังแอดไลน์เข้ามาสนทนากับผู้เสียหายในเรื่องการชำระค่าส่งพัสดุดังกล่าวอีกทางหนึ่งเพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ

โดยได้หลอกลวงให้ผู้เสียหายโอนเงินชำระค่าพัสดุเพิ่มเติมอีกจำนวนหนึ่ง และในส่วนที่เหลือให้ไปชำระในขณะที่ไปรับพัสดุได้ที่สนามบินสุวรรณภูมิ จนกระทั่งผู้เสียหายหลงเชื่อ และได้โอนเงินให้ 2 ครั้ง มูลค่าความเสียหายรวม 51,000 บาท เมื่อผู้เสียหายไปรับสินค้าที่สนามบินสุวรรณภูมิ ปรากฏว่าไม่มีพัสดุถึงผู้เสียหายจึงทราบว่าถูกหลอกลวง เบื้องต้นผู้ต้องหาให้การรับสารภาพว่าได้รับส่วนแบ่งค่าจ้างจากชาวไนจีเรียคนหนึ่งซึ่งตำรวจจะได้สืบสวนขยายผลต่อไป

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน