นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยในการประชุมเชิงปฏิบัติการ “การปรับโครงสร้างภาคเกษตรโดยกลไกสหกรณ์” โดยมีสหกรณ์ภาคการเกษตร 777 สหกรณ์ กระทรวงเกษตรฯ สหกรณ์จังหวัด ผู้แทนธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) กระทรวงพาณิชย์ และธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (เอสเอ็มอีแบงก์) เข้าร่วมงาน ที่หอประชุมกองทัพอากาศ โดยกรมส่งเสริมสหกรณ์ ว่า จากตัวชี้วัดด้านเศรษฐกิจชี้ชัดว่าเศรษฐกิจไทยดีขึ้น ดังนั้น 6 เดือนแรกของปีนี้เชื่อว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) น่าจะเติบโตประมาณ 4.5% เศรษฐกิจไทยกำลังเป็นขาขึ้น

แม้จะไม่อยากพูดเรื่องจีดีพี เพราะมาวันนี้เพื่อทำความเข้าใจ ว่าขณะนี้ 777 สหกรณ์ที่มีความเข้มแข็ง ที่เข้าร่วมการประชุมเชิงปฏิบัติการครั้งนี้ เป็นความหวังของการพลิกฟื้นประเทศไทย ดัชนีหลายอย่างชี้ชัดว่าไทยดีขึ้น ไทยกำลังขาขึ้นเมื่อเทียบกับ 4 ปีก่อนคนละเรื่อง โลกที่กำลังต้อนรับดินแดนที่ประกอบด้วย ไทย ลาว พม่า เวียดนาม กัมพูชา (ซีแอลเอ็มวีที) ทั้ง 5 ประเทศมีจีดีพีที่เติบโต 7-8% ต่อปีไม่นับไทย เมื่อเพื่อนบ้านเจริญ เติบโตไทยยิ่งได้ประโยชน์

“หัวใจอาเซียนไม่ใช่ จีน หรือ ญี่ปุ่น แต่เป็นไทย ที่มีทั้งแรงงาน ตลาด โอกาส ทุกอย่างกำลังจะมาเมื่อมาโอกาสมาถึง ทุกอย่างมากถึงไทย ไทยยังไม่ดีพอทุกอย่างพร้อมจะเลี้ยวไปอีก 4 ประเทศทันที อย่าบั่นทอนความเชื่อมั่นของไทย 10 ปีที่ผ่านมาไทยหยุดนิ่งมาตลอดและถอยหลังด้วย มาถึงวันนี้ยืนยันว่าเศรษฐกิจไทยกำลังดีขึ้นเรื่อยๆ เวิลด์แบงก์บอกเศรษฐกิจไทยจะโต 4% แต่จากดัชนีชี้วัดหลายตัวที่ออกมาผมเชื่อว่าครึ่งปีนี้จีดีพีไทยจะโต 4.5%”

นายสมคิด กล่าวว่า จากนี้ต้องใช้สหกรณ์ร่วมพลิกโฉมประเทศไทย เป็นกลไกในการพัฒนาภาคเกษตรอย่างแท้จริง ที่ผ่านมาประชากรไทย 20 ล้านคนอยู่ในภาคเกษตร ซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ แต่มีสัดส่วนของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) เพียง 10% ถือเป็นสัดส่วนที่น้อยมาก เกษตรกรต้องเร่งรวมกลุ่มเป็นสหกรณ์ ทำตัวเป็นธุรกิจ โดยสหกรณ์ในประเทศไทยมีมากกว่า 4 พันแห่ง ถ้าไม่เข้มแข็งและพัฒนา ให้ทะยอยยุบทิ้ง แต่หากมีเด็กยุคใหม่ที่มีวิสัยทัศน์ในการพัฒนาภาคเกษตร รวมตัวกันเพื่อจัดตั้งเป็นสหกรณ์หากดูแล้วมีความเป็นไปได้ในเชิงธุรกิจให้สนับสนุนทำกด้านเพื่อให้มีการจัดตั้งเป็นสหกรณ์เป้าหมายเพื่อพัฒนาและพลิกฟื้นภาคเกษตรไทย

สำหรับระบบสหกรณ์ของไทยเข้มแข็งทุกอย่างต้องดีขึ้น เพื่อประคองให้กลุ่มผู้มีรายได้น้อย กลุ่มคนจนอยู่ต่อไปได้ ภาคเกษตรจึงจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการผลิต ปรับเปลี่ยนการเพาะปลูก ไม่ใช่เฉพาะข้าวไม่ต้องรอทุกอย่างพร้อม แต่ความเสี่ยงของเกษตรกรที่ร่วมโครงการเปลี่ยนอาชีพต้องเป็นศูนย์ต้องไม่มีความเสี่ยง เพื่อให้การปฏิรูปการเกษตร สามารถเพิ่มมูลค่าสินค้า สินค้าเกษตรสามารถขายบนตลาดออนไลน์ได้ ที่ผ่านมาดึงอาลีบาบามาช่วยให้สินค้าเกษตรสามารถใช้ระบบโลจิสติกส์ของอาลีบาบาเพื่อให้ไปสู่ผู้ซื้อได้ดีและกว้างขึ้น ดังนั้นกระทรวงเกษตรฯ และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ต้องชี้เป้าว่าพื้นที่ไหนจะปลูกอะไร โดยเริ่ม 1 ก.ย.นี้

“รัฐบาลรู้ว่าคนไทยจน มีความเหลื่อมล้ำ จึงเร่งผลักดันเงินลงรากหญ้า โดย 4 ปีที่ผ่านมารัฐบาลพยายามผลักดันเงินลงสู่รากหญ้ามากกว่า 6 แสนล้านบาท เพื่อให้เกษตรกรอยู่ได้ แต่ขณะนี้เวียดนามหายใจลดต้นคอของไทย มีความเข้มแข็งและจริงจังในการพัฒนา หากสหกรณ์ของคนรุ่นใหม่สามารถสามารถพัฒนา และเชื่อมซีแอลเอ็มวีได้ รัฐบาลพร้อมสนับสนุนเต็มที่ เพราะมาร์จิ้นภาคเกษตรประมาณ 80-90% เป็นของคนไทย แต่ต้องไม่เป็นสินค้าตัวเดียว 7 เดือนจากนี้ไปจะให้โครงการปฏิรูปภาคเกษตรมีการเดินหน้า มันยากแต่ไม่เกินเอื้อม”

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน